ตลาด
แพลตฟอร์ม
บัญชี
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
การแข่งขัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
เขียนโดย Itsariya Doungnet
อัปเดตแล้ว 25 พฤศจิกายน 2025
สารบัญ
หากคุณกำลังเริ่มทำธุรกิจหรือวางแผนบริหารต้นทุน คำว่า “จุดคุ้มทุน” (Break-even Point) เป็นสิ่งที่คุณควรรู้ จุดคุ้มทุน คือ จุดที่รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเท่ากับต้นทุนทั้งหมด หรือพูดง่าย ๆ คือยังไม่มีกำไร แต่ก็ไม่ขาดทุน การเข้าใจจุดคุ้มทุนช่วยให้เราวางแผนการขาย กำหนดราคาสินค้า และตัดสินใจเรื่องการลงทุนได้ชัดเจนมากขึ้น
บทความนี้ เราจะมาอธิบายให้คุณเข้าใจ จุดคุ้มทุน คืออะไร พร้อมวิธีคำนวณด้วยสูตรง่าย ๆ และตัวอย่างที่ทำตามได้จริง เหมาะสำหรับมือใหม่หรือใครที่อยากวางแผนธุรกิจแบบชัวร์ ๆ อ่านจบแล้วคุณจะรู้ว่า แค่รู้จักจุดคุ้มทุน ก็ช่วยให้ตัดสินใจเรื่องกำไรและต้นทุนได้ง่ายขึ้นเยอะ
สาระสำคัญ
จุดคุ้มทุน (Break-even) ช่วยให้ธุรกิจรู้ว่าต้องขายเท่าไหร่จึงไม่ขาดทุน
การคำนวณจุดคุ้มทุนช่วยวางแผนยอดขาย ตั้งราคา และประเมินความเสี่ยง
Margin of Safety แสดงระยะปลอดภัยก่อนขาดทุน ทำให้เห็นความมั่นคงของธุรกิจ
การเข้าใจทั้งสองอย่างช่วยบริหารธุรกิจและการลงทุนอย่างมั่นใจและรอบคอบ
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
จุดคุ้มทุน คือ จุดที่รายได้รวมเท่ากับต้นทุนรวม หมายความว่าเมื่อธุรกิจขายสินค้า หรือให้บริการจนถึงจุดนี้ ธุรกิจจะยังไม่มีกำไร แต่ก็ยังไม่ขาดทุน พูดง่าย ๆ ว่า “ขายได้เท่าทุน ยังไม่กำไร แต่ก็ไม่ขาดทุนแล้ว” หลังจากถึงจุดคุ้มทุน ถ้าขายได้มากกว่านี้ ธุรกิจก็จะเริ่มทำกำไรทันที
จุดคุ้มทุน เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจ และนักลงทุนวางแผนการขาย กำหนดราคาสินค้า วางแผนการผลิต และตัดสินใจเรื่องต้นทุนได้อย่างมีข้อมูล ไม่ต้องเดา ตัวอย่างเช่น คุณสามารถคำนวณว่าต้องขายสินค้ากี่ชิ้นถึงจะเริ่มทำกำไร หรือสินค้าตัวไหนควรปรับราคาเพื่อไม่ให้ขาดทุน
ไม่ใช่แค่ธุรกิจขายสินค้าเท่านั้น จุดคุ้มทุนยังใช้ได้ในหลายสถานการณ์ เช่น การลงทุน การผลิต หรือการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ทำให้เรารู้ว่าเมื่อไหร่ที่รายได้และค่าใช้จ่ายสมดุลกัน
สรุปง่าย ๆ หากมีใครถามว่า “BEP คืออะไร” หรือ “break-even point คืออะไร” ก็ให้คิดว่า นี่คือจุดที่ธุรกิจ ไม่กำไรแต่ก็ไม่ขาดทุน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญก่อนที่จะไปสู่กำไรจริง ๆ
หลายคนอาจสงสัยว่า “ทำไมต้องรู้จุดคุ้มทุน?” การรู้จักจุดคุ้มทุนมี ประโยชน์จุดคุ้มทุน อย่างมาก เพราะช่วยให้คุณบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้:
วางแผนกำไรและต้นทุน: การรู้จุดคุ้มทุนทำให้คุณทราบว่าต้องขายสินค้า/บริการกี่หน่วยจึงจะไม่ขาดทุน
วิเคราะห์ความเสี่ยงธุรกิจ: สามารถประเมินความเสี่ยงและโอกาสในการทำกำไรของธุรกิจ
ตั้งราคาขายให้เหมาะสม: ช่วยให้ไม่ขายต่ำกว่าต้นทุนจนเกิดการขาดทุน
ประเมินความเป็นไปได้ของโครงการ: ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนหรือขยายธุรกิจ
วางแผนการขายและปริมาณการผลิต: รู้ว่าต้องผลิตหรือขายจำนวนเท่าไหร่จึงจะคุ้มค่า
จุดคุ้มทุนแบบง่าย หรือ ความหมาย break-even คือ จุดที่รายได้จากการขายสินค้าเพียงพอครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด ไม่ขาดทุนและยังไม่มีกำไร ตัวอย่างใกล้ตัวเช่น หากคุณมีต้นทุนรวม 50,000 บาท และขายสินค้าชิ้นละ 50 บาท กำไรต่อชิ้นคือ 50 บาท คุณจะต้องขายสินค้าจำนวน 1,000 ชิ้น จึงจะถึงจุดคุ้มทุน หรือพูดง่าย ๆ คือขายไปจนได้เงินพอครอบคลุมต้นทุนพอดี
ลองจินตนาการภาพนี้: คุณขายของทีละชิ้น กำไรต่อชิ้นสะสมเรื่อย ๆ จนกระทั่งรวมกันเท่ากับต้นทุน 50,000 บาท นั่นคือช่วงที่ธุรกิจ “คืนทุน” จากนั้นทุกชิ้นที่ขายเกิน 1,000 ชิ้นจะกลายเป็นกำไรทันที การเข้าใจ ความหมาย break-even แบบนี้ช่วยให้เจ้าของธุรกิจวางแผนการขายและคำนวณกำไรได้ง่ายขึ้น
จุดคุ้มทุนไม่ได้มีแค่แบบเดียว เราสามารถแบ่งเป็นหลายประเภทดังนี้
จุดคุ้มทุนเชิงปริมาณ คือ จำนวนสินค้าหรือบริการที่ต้องขายถึงจะคุ้มทุน (unit break-even) เหมาะกับร้านค้าหรือผู้ผลิตที่ต้องรู้ว่าแต่ละเดือนต้องขายเท่าไหร่เพื่อครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด
ตัวอย่าง: หากต้นทุนรวมของร้านขนม 10,000 บาท และกำไรต่อชิ้น 20 บาท ร้านต้องขายขนม 500 ชิ้นจึงถึงจุดคุ้มทุน
จุดคุ้มทุนเชิงมูลค่าเงิน คือ อดขายรวมที่ต้องทำให้ถึงจุดคุ้มทุน (revenue break-even) ใช้สำหรับวิเคราะห์รายได้รวมและตั้งเป้ายอดขายรวมให้ธุรกิจไม่ขาดทุน
ตัวอย่าง: หากร้านกาแฟมีต้นทุนรวม 30,000 บาท และราคาขายเฉลี่ยแก้วละ 60 บาท จะต้องทำยอดขายรวม 30,000 บาท ถึงจะครอบคลุมต้นทุน
จุดคุ้มทุนทางการเงิน ใช้ในการประเมินโครงการลงทุน เช่น การสร้างโรงงานหรือเปิดธุรกิจใหม่ ช่วยให้รู้ว่ารายได้จากโครงการต้องสูงแค่ไหนจึงคืนทุนต้นทุนทางการเงินและดอกเบี้ย
ตัวอย่าง: หากสร้างโรงงานใหม่ต้องลงทุน 1,000,000 บาท และมีดอกเบี้ยเงินกู้ 5% ต่อปี ต้องทำรายได้ขั้นต่ำ 1,050,000 บาทเพื่อไม่ขาดทุนทางการเงิน
จุดคุ้มทุนเชิงเศรษฐศาสตร์ ใช้คำนวณรวมต้นทุนแฝง เช่น ค่าเสียโอกาส หรือค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ทำให้เจ้าของธุรกิจประเมินโครงการได้รอบด้านมากขึ้น
ตัวอย่าง: หากคุณใช้เวลาทำธุรกิจหนึ่งชั่วโมงแทนที่จะไปทำงานประจำและได้ค่าแรง 200 บาท ต้นทุนแฝงนี้ต้องรวมในการคำนวณจุดคุ้มทุนด้วย
การรู้ วิธีคำนวณจุดคุ้มทุน ช่วยให้เจ้าของธุรกิจรู้ว่าต้องขายสินค้าเท่าไหร่จึงจะครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด โดยมี สูตรจุดคุ้มทุน พื้นฐานดังนี้
คำอธิบายส่วนต่างของสูตร:
ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) คือ ค่าใช้จ่ายที่ไม่ขึ้นกับปริมาณการผลิต เช่น ค่าเช่าสถานที่ ค่าจ้างพนักงานประจำ
ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คือ ค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงตามจำนวนสินค้า เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่งต่อชิ้น
ส่วนต่างกำไรต่อหน่วย (Contribution Margin) คือ ราคาขายต่อหน่วย - ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย
ตัวอย่าง:
ร้านขนมมีต้นทุนคงที่ 10,000 บาท ราคาขายชิ้นละ 50 บาท และต้นทุนวัตถุดิบต่อชิ้น 20 บาท
หมายความว่าร้านต้องขายขนมประมาณ 334 ชิ้นจึงถึงจุดคุ้มทุน
สำหรับจุดคุ้มทุนเชิงมูลค่าเงิน:
จุดคุ้มทุน(มูลค่า) = จุดคุ้มทุน(หน่วย) × ราคาขายต่อหน่วย
จากตัวอย่างข้างต้น
จุดคุ้มทุน(มูลค่า) = 334 × 50 = 16,700 บาท
สำหรับสินค้าหลายชนิด: ต้องคำนวณ Contribution Margin เฉลี่ย ของแต่ละสินค้า เพื่อนำมาหาค่าจุดคุ้มทุนรวม
การดู ตัวอย่างจุดคุ้มทุน จะช่วยให้เข้าใจวิธีคำนวณและนำไปใช้กับธุรกิจจริงได้ง่ายขึ้น
ต้นทุนคงที่: 100,000 บาท
ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย: 50 บาท
ราคาขายต่อหน่วย: 100 บาท
วิธีการคำนวณ
จุดคุ้มทุน = 10,000/(100-50) = 2,000 หน่วย
หมายความว่า บริษัทต้องขายสินค้า 2,000 หน่วยจึงจะถึงจุดคุ้มทุน
ค่าเช่า: 30,000 บาท/เดือน
ต้นทุนผันแปรต่อแก้วกาแฟ: 20 บาท
ราคาขาย: 50 บาท/แก้ว
จุดคุ้มทุน = 30,000/(50-20) = 1,000 แก้วต่อเดือน
หมายความว่า คาเฟ่ต้องขายกาแฟ 1,000 แก้วต่อเดือนจึงจะคืนทุน
ต้นทุนคงที่: 50,000 บาท
ต้นทุนผันแปรต่อชิ้น: 200 บาท
ราคาขาย: 500 บาท
จุดคุ้มทุน = 50,000/(500-200) = ~167 ชิ้น
หมายความว่า ธุรกิจออนไลน์ต้องขายเสื้อผ้า 167 ชิ้นจึงจะถึงจุดคุ้มทุน
การรู้ จุดคุ้มทุนในการลงทุน หรือ break-even การเงิน ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและนักลงทุนวางกลยุทธ์ได้หลายด้าน เช่น
วางแผนยอดขาย: รู้ว่าต้องขายสินค้าเท่าไหร่เพื่อไม่ขาดทุน
ตั้งราคาให้ได้กำไร: กำหนดราคาขายที่เหมาะสม ทำให้ธุรกิจเริ่มมีกำไรเร็วขึ้น
ปรับกลยุทธ์ต้นทุน: ลดต้นทุนคงที่หรือผันแปร เพื่อทำกำไรได้เร็วขึ้น
วิเคราะห์โครงการลงทุน: ประเมินความเป็นไปได้และความเสี่ยงก่อนลงทุน เช่น การสร้างโรงงานหรือเปิดธุรกิจใหม่
ใช้ในการเทรด: วิเคราะห์ต้นทุน - กำไรของสินค้าหรือหุ้น ช่วยตัดสินใจซื้อขายได้แม่นยำ
หลายคนมักสับสนระหว่าง จุดคุ้มทุน (Break-even) กับ Margin of Safety แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองมีความหมายและหน้าที่ต่างกัน
ความแตกต่าง
จุดคุ้มทุน (Break-even)
Margin of Safety
ความหมาย
ระดับยอดขายที่ทำให้ไม่ขาดทุน
ระยะปลอดภัยก่อนขาดทุน
ใช้เพื่อ
คาดการณ์ต้นทุน - กำไร
วัดความเสี่ยงยอดขายต่ำ
สรุปง่าย ๆ:
จุดคุ้มทุน = จุดเริ่มต้นที่ธุรกิจไม่ขาดทุน
Margin of Safety = ระยะปลอดภัยจากการขาดทุน ยิ่งสูงยิ่งมั่นใจว่าธุรกิจปลอดภัย
จุดคุ้มทุน คือ จุดที่รายได้จากการขายสินค้าเท่ากับต้นทุนทั้งหมด ทำให้ธุรกิจไม่ขาดทุนแต่ยังไม่มีกำไร การเข้าใจจุดคุ้มทุนสำคัญมากในการวางแผนธุรกิจและกำไร ช่วยให้วางแผนยอดขาย กำหนดราคาขาย และประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ การเปรียบเทียบกับ Margin of Safety ยังช่วยให้เห็นระยะปลอดภัยก่อนขาดทุน ทำให้บริหารธุรกิจและลงทุนอย่างมั่นใจมากขึ้น
พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?
เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย
จุดคุ้มทุน คือ จุดที่รายได้จากการขายสินค้า หรือบริการเท่ากับต้นทุนรวม หมายความว่าธุรกิจไม่ขาดทุน แต่ก็ยังไม่มีกำไร เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญก่อนที่จะเริ่มทำกำไร
คุณสามารถเลือกใช้สูตรนี้ได้ จุดคุ้มทุน (หน่วย) = ต้นทุนคงที่ ÷ (ราคาขายต่อหน่วย – ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย) เช่น ต้นทุนคงที่ 10,000 บาท ราคาขาย 50 บาท ต้นทุนผันแปร 20 บาท → ต้องขาย 334 หน่วย
จุดคุ้มทุน เป็นเพียงจุดที่ธุรกิจยังไม่ขาดทุน แต่ก็ยังไม่มีกำไร ส่วนกำไรคือรายได้ที่เกินต้นทุนรวมหลังจากถึงจุดคุ้มทุน
ใช้ได้แน่นอน ช่วยวางแผนยอดขาย กำหนดราคาสินค้า และดูว่าต้องขายกี่ชิ้นจึงจะไม่ขาดทุน
ช่วยวางแผนกำไรและต้นทุน ประเมินความเสี่ยง และใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนหรือขยายธุรกิจ ทำให้บริหารธุรกิจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
Margin of Safety คือ ระยะปลอดภัยของยอดขายเหนือจุดคุ้มทุน ช่วยบอกว่าธุรกิจมี “ความมั่นคง” มากน้อยแค่ไหน หากยอดขายลดลงยังไม่ถึงจุดขาดทุน
Itsariya Doungnet
SEO Content Writer
อิสสริยา ดวงเนตร เป็นนักเขียนคอนเท้นต์ SEO ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ เรื่องตลาดเทรด และ การลงทุน เน้นสไตล์การเขียนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเนื้อหาความรู้จัดเต็ม พร้อมกับการผสมผสานเทคนิค SEO ที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาบทความได้ง่าย อย่าลืมติดตามกันนะคะ
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง