ตลาด
แพลตฟอร์ม
บัญชี
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือ
หุ้น
เขียนโดย Itsariya Doungnet
อัปเดตแล้ว 11 กันยายน 2025
สารบัญ
หลายคนที่เริ่มติดตามข่าวเศรษฐกิจหรือสนใจการลงทุน อาจเคยได้ยินคำว่า “ดัชนีหุ้น” อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น SET Index, NASDAQ หรือ Dow Jones แต่ก็อาจยังไม่แน่ใจว่า ดัชนีหุ้นคืออะไร และมีบทบาทอย่างไรในตลาดการเงิน
เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ดัชนีหุ้น ตั้งแต่วิธีทำงาน ประเภท ไปจนถึงตัวอย่างที่ควรรู้ ทั้งในประเทศไทยและระดับโลก อ่านต่อในบทความนี้ต่อเลย
สาระสำคัญ
ดัชนีหุ้น คือ ตัวชี้วัดภาพรวม การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาด หรือ กลุ่มหุ้นเฉพาะ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรม หรือ บริษัทขนาดใหญ่ ใช้ติดตามแนวโน้มตลาด และ ช่วยวิเคราะห์เศรษฐกิจ
วิธีคำนวณดัชนีหุ้น มีหลายรูปแบบ เช่น ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด, ตามราคา หรือ ให้น้ำหนักเท่ากัน ขึ้นอยู่กับประเภทของดัชนี และ วัตถุประสงค์การใช้งาน
ประเภทของดัชนีหุ้น ได้แก่ ดัชนีตลาดรวม, ดัชนีอุตสาหกรรม, ดัชนีบลูชิพ และ ดัชนีต่างประเทศ
ตัวอย่างการใช้งาน เช่น ใช้เปรียบเทียบผลตอบแทนพอร์ตลงทุน, ติดตามสุขภาพตลาด หรือ เป็นฐานในการลงทุนผ่าน กองทุนรวม และ ETF
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
ดัชนีหุ้น คือ ค่าดัชนีที่ใช้วัดและสะท้อนภาพรวมของ การเคลื่อนไหวราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือในกลุ่มหุ้นที่มีลักษณะร่วมกัน เช่น กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ กลุ่มอุตสาหกรรม หรือ กลุ่มหุ้นที่มีลักษณะเฉพาะ ดัชนีหุ้น จึงทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตาม และ วิเคราะห์ทิศทางของตลาดหุ้นโดยรวม
ดัชนีหุ้น จะถูกคำนวณจาก ราคาหุ้นของบริษัท ที่อยู่ในกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินภาวะตลาดว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ขาลง หรือทรงตัว ไม่จำเป็นต้องติดตามราคาหุ้นรายตัวทั้งหมด ดัชนีหุ้นจึงถือเป็นตัวชี้วัดที่มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจลงทุน และใช้ในการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุนต่าง ๆ
วิธีการคำนวณและหลักการทำงานมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบของ ดัชนีหุ้น นั้น ๆ ซึ่งโดยทั่วไปดัชนีหุ้นจะถูกคำนวณด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักหลัก ๆ 3 แบบ ได้แก่
ดัชนีประเภทนี้ให้น้ำหนักหุ้นแต่ละตัวตามมูลค่าตลาดของบริษัท กล่าวคือ หุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูง จะมีผลต่อดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีมูลค่าตลาดต่ำ วิธีนี้เป็นที่นิยมใช้ใน ดัชนีหุ้น ขนาดใหญ่ เช่น SET Index หรือ S&P 500
ดัชนี ก มีหุ้น A ราคา 4 บาท จำนวน 100 หุ้น และหุ้น B ราคา 5 บาท จำนวน 200 หุ้น
หุ้น A: 4 × 100 = 400
หุ้น B: 5 × 200 = 1,000
มูลค่าตลาดรวม = 400 + 1,000 = 1,400
ในวิธีนี้ น้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นโดยตรง หุ้นที่มีราคาสูงกว่าจะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากกว่า ตัวอย่างที่ใช้วิธีนี้คือ Dow Jones Industrial Average (DJIA)
ดัชนี ข มีหุ้น C ราคา 10 บาท และหุ้น D ราคา 20 บาท
ผลรวมราคาหุ้น = 10 + 20 = 30
ตัวหาร = 3
ดัชนี = 30 / 3 = 10 จุด
ดัชนีประเภทนี้ให้น้ำหนักหุ้นแต่ละตัวเท่ากัน ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กก็ตาม ซึ่งช่วยลดอิทธิพลของหุ้นขนาดใหญ่และทำให้นักลงทุนได้เห็นภาพรวมที่เท่าเทียมกันมากขึ้น
ดัชนี ค มีหุ้น E ผลตอบแทน +5%, หุ้น F ผลตอบแทน +10%, หุ้น G ผลตอบแทน -2%
ค่าเฉลี่ย = (5 + 10 - 2) / 3 = 4.33%
หมายความว่าดัชนีเพิ่มขึ้น 4.33%
ดัชนีหุ้น มีหลายประเภท แบ่งตามลักษณะของหุ้นที่รวมอยู่ในดัชนีนั้น ๆ ได้แก่
ดัชนีตลาดรวม เป็นการรวมหุ้นเกือบทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์นั้น ๆ เพื่อสะท้อนภาพรวมของภาวะตลาดทั้งหมดอย่างครบถ้วน จุดประสงค์ คือ ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมของตลาด ไม่ว่าจะเป็นหุ้นขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่
ดัชนีนี้จึงเหมาะกับ การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ และ ความเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม เช่น SET Index ของไทย ที่รวมหุ้นจดทะเบียนเกือบทุกบริษัท ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดัชนีตลาดรวมจึงถือเป็น ตัวชี้วัดสุขภาพของตลาดหุ้นโดยรวมได้ดี
ดัชนีอุตสาหกรรม คือ การรวมหุ้นในกลุ่มธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มเทคโนโลยี หรือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จุดประสงค์ คือ แสดงผลการดำเนินงานของอุตสาหกรรมเฉพาะเจาะจง
ซึ่งช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์ทิศทาง และ โอกาสของแต่ละอุตสาหกรรมได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น ถ้าเห็นดัชนีพลังงานปรับตัวขึ้น อาจบ่งชี้ว่าภาคพลังงานมีแนวโน้มเติบโต ในขณะที่อุตสาหกรรมอื่นอาจไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน
ดัชนีบลูชิพ จะรวมหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีความมั่นคงสูง มีสภาพคล่องดี และ เป็นที่ยอมรับในตลาด หุ้นเหล่านี้มักมีมูลค่าตลาดสูง และมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ
ดัชนีบลูชิพจึงเป็นตัวแทนของบริษัทชั้นนำที่เป็นหัวใจหลักของตลาด เช่น SET50 Index ซึ่งประกอบด้วยหุ้น 50 ตัวที่มีขนาดใหญ่ และ ซื้อขายมากที่สุดในตลาด การติดตามดัชนีบลูชิพช่วยให้ นักลงทุนเห็นภาพสุขภาพ และ แนวโน้มของบริษัทชั้นนำได้ชัดเจน
ดัชนีประเภทนี้ เป็นการรวมหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอื่น หรือกลุ่มประเทศทั่วโลก เพื่อแสดงภาพรวมของตลาดหุ้นในระดับภูมิภาค หรือ ระดับโลก ตัวอย่างเช่น Dow Jones Industrial Average (DJIA) ซึ่งรวมหุ้นใหญ่ในสหรัฐฯ หรือ FTSE 100 ที่รวมหุ้นใหญ่ในสหราชอาณาจักร
ดัชนีต่างประเทศ จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจทิศทางเศรษฐกิจ และ ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงโอกาส และ ความเสี่ยงจากการลงทุนข้ามประเทศได้ดีขึ้น
การเข้าใจวิธีดู SET Index จะช่วยให้มองเห็นทิศทางของตลาดได้ง่ายขึ้น เรามาดูวิธีการอ่านรายละเอียดกันเลย
SET: 1,110.01 คือ ค่าปิดของดัชนีในวันที่แสดง
การเปลี่ยนแปลง: +20.45 (+1.88%) หมายถึง ดัชนีเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 20.45 จุด หรือ 1.88%
High: 1,110.01 (+20.45) หมายถึง จุดสูงสุดของดัชนีในวันนี้
Low: 1,086.56 (-3.00) หมายถึง จุดต่ำสุดของดัชนีในวันนี้
Val(M): 41,714.05 ล้านบาท คือ มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวัน
Vol(K): 8,448,969 หน่วย (พันหุ้น) คือ ปริมาณหุ้นที่ถูกซื้อขายทั้งหมดในวันนั้น
338 หุ้น คือ จำนวนหุ้นที่ราคาปรับ เพิ่มขึ้น
171 หุ้น คือ หุ้นที่ราคา ไม่เปลี่ยนแปลง
146 หุ้น คือ หุ้นที่ราคาปรับ ลดลง
นอกจาก SET Index แล้ว ก็ยังมี ดัชนีหุ้น อื่น ๆ ที่พัฒนาโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อใช้วัดผลตอบแทนของกลุ่มหุ้นตามขนาด มูลค่าตลาด ความมั่นคง หรือหมวดหมู่ธุรกิจเฉพาะ ช่วยให้นักลงทุนเลือกลงทุนได้ตามเป้าหมายที่เหมาะสม
ดัชนีที่รวมหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะมีการคัดเลือกจากหุ้นที่มี มูลค่าตลาดสูง และ มีสภาพคล่องดี เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นคุณภาพดี มีความมั่นคง และได้รับการติดตามจาก นักลงทุนรายใหญ่ กองทุน และ ETF ต่าง ๆ หุ้นใน SET50 มักถูกใช้เป็นฐานในการออกอนุพันธ์ เช่น SET50 Index Futures และ Options
ดัชนีที่รวมหุ้น 100 ตัวแรกของตลาด ซึ่งรวมทั้ง หุ้นใน SET50 และหุ้นขนาดกลาง ที่มีพื้นฐานดี เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ กระจายการลงทุนในหุ้นหลากหลายขนาด แต่ยังคงโฟกัสอยู่ในกลุ่มที่มีคุณภาพ และ สภาพคล่องดี ช่วยเพิ่มทางเลือกการลงทุนมากขึ้น แต่ยังคงรักษาความมั่นคงไว้ระดับหนึ่ง
ดัชนีที่รวมหุ้นที่มี ประวัติการจ่ายปันผลสูงและสม่ำเสมอ รวมถึงมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง เหมาะกับนักลงทุนสายปันผล ที่เน้นรายได้ระยะยาวจากเงินปันผล มากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น มักได้รับความสนใจในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน เพราะหุ้นกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ
ดัชนีที่รวมหุ้นที่ ไม่อยู่ในกลุ่ม SET50 หรือ SET100 แต่ยังผ่านเกณฑ์พื้นฐานทางการเงินและมีสภาพคล่องในระดับที่ยอมรับได้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นขนาดกลางถึงเล็ก ที่อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่มีโอกาสเติบโตในอนาคต เป็นพื้นที่สำหรับค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพสูงในอนาคต (หุ้นดาวรุ่ง)
ดัชนีที่คัดเลือกหุ้นที่ผ่านเกณฑ์ ESG (Environment, Social, Governance) คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน และต้องการสนับสนุนบริษัทที่ทำธุรกิจอย่างมีจริยธรรม เป็นที่สนใจของกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบยั่งยืน (ESG Funds)
ดัชนีที่รวมหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิต เช่น อาหาร เครื่องดื่ม สุขภาพ ท่องเที่ยว ความงาม ฯลฯ เหมาะกับผู้ที่มองเห็นแนวโน้มการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และต้องการลงทุนในธุรกิจที่ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ สะท้อนโอกาสการเติบโตตามพฤติกรรมผู้บริโภคในระยะยาว
ดัชนีที่แสดง ผลตอบแทนรวม ของตลาด ซึ่งจะคำนวณทั้งจาก การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น และ การจ่ายปันผลเหมาะสำหรับใช้วัดผลตอบแทนที่แท้จริงของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในการเปรียบเทียบกับกองทุน หรือ ดัชนีอื่น แสดงผลตอบแทนได้สมจริงกว่าดัชนีปกติ เพราะรวมเงินปันผลเข้าด้วย
ดัชนีที่แสดงการเคลื่อนไหวของหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ mai ซึ่งเป็นตลาดรองของ SET สำหรับบริษัทขนาดกลาง และ เล็ก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่เพิ่งเข้าตลาด หรือ มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต หุ้นใน mai มีความผันผวนสูง แต่ก็มาพร้อมโอกาสในการทำกำไรหากเลือกได้ถูกตัว
ดัชนีหุ้นของแต่ละประเทศ ทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดภาพรวมเศรษฐกิจ และ ตลาดการเงิน ดัชนีเหล่านี้ยังเป็นเครื่องมือหลักในการลงทุนผ่านกองทุนรวม และ ETF อีกด้วย
ดัชนีดาวโจนส์ คือ เก่าแก่ที่สุดของอเมริกา (ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1896) ประกอบด้วยหุ้นบลูชิพ 30 บริษัทขนาดใหญ่ เช่น Coca-Cola, McDonald’s, Boeing และ Microsoft เป็นการใช้การถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น ไม่ใช่มูลค่าตลาด
แม้จะมีจำนวนหุ้นน้อย แต่ยังคงเป็นดัชนีที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองในฐานะตัวแทนของหุ้นขนาดใหญ่ในอเมริกา เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการดูภาพรวมของบริษัทอเมริกันระดับแนวหน้า
ดัชนี S&P 500 เป็นดัชนีที่รวมหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ NYSE และ NASDAQ ครอบคลุมเกือบทุกอุตสาหกรรม ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด เป็นดัชนีที่ใช้เปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนทั่วโลก เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการติดตามภาพรวมของตลาดหุ้นอเมริกาอย่างครอบคลุม
ดัชนีนี้รวมหุ้น 100 บริษัทขนาดใหญ่ในตลาด NASDAQ ที่ไม่ใช่กลุ่มการเงิน โดยเน้นกลุ่มเทคโนโลยี เช่น Apple, Amazon, Google (Alphabet), Meta เป็นดัชนีที่เติบโตเร็วมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย เหมาะกับนักลงทุนที่เน้นการเติบโตระยะยาว
ดัชนีนิกเคอิ 225 คือ หลักของตลาดหุ้นโตเกียว ประกอบด้วยหุ้นญี่ปุ่น 225 ตัว เช่น Toyota, Sony, SoftBank ใช้การถ่วงน้ำหนักตามราคา เป็นดัชนีที่สะท้อนเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และได้รับความสนใจจากนักลงทุนในภูมิภาคเอเชีย เหมาะกับนักลงทุนที่สนใจเศรษฐกิจญี่ปุ่น หรือกระจายพอร์ตลงทุนในเอเชีย
ดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ 100 ตัวในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน เช่น HSBC, Unilever, BP สะท้อนเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรและบริษัทระดับโลกที่มีฐานในอังกฤษ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการติดตามเศรษฐกิจยุโรปตะวันตก หรือกระจายพอร์ตในหุ้นระดับโลก
ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นชั้นนำ 40 บริษัทของเยอรมนี เช่น BMW, SAP, Siemens เป็นตัวแทนของเศรษฐกิจยูโรโซนที่ใหญ่ที่สุด บริษัทในดัชนีมีความเป็นสากลสูง มีรายได้จากทั่วโลก เหมาะกับนักลงทุนที่สนใจเศรษฐกิจยุโรป และต้องการลงทุนในบริษัทที่มีความแข็งแกร่งระดับโลก
ดัชนีที่รวมหุ้น 40 บริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ปารีส เช่น L’Oréal, TotalEnergies, LVMH เน้นบริษัทข้ามชาติที่มีอิทธิพลทั้งในยุโรปและทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าแบรนด์หรู เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นฝรั่งเศส หรือสนใจแบรนด์ยุโรประดับพรีเมียม
ดัชนีหุ้น ได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อภาพรวมตลาดและราคาหุ้นในดัชนี เช่น
สภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่เติบโตดี ช่วยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน ทำให้ราคาหุ้นและดัชนีปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจถดถอยมักทำให้ดัชนีลดลง
นโยบายการเงิน และ ดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ส่งผลโดยตรงต่อ ต้นทุนการเงิน และ การลงทุน ทำให้นักลงทุนปรับพอร์ตและส่งผลต่อดัชนี
ผลประกอบการบริษัท และข่าวสาร ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทในดัชนี เช่น รายได้ การเติบโต หรือปัญหาทางธุรกิจ จะกระทบต่อตลาดและดัชนีโดยรวม
ปัจจัยทางการเมือง นโยบายรัฐบาล และข้อกฎหมายต่าง ๆ สามารถส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และ ดัชนีหุ้น
เหตุการณ์ระหว่างประเทศ เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภัยพิบัติ หรือเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจโลก ล้วนส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในระดับสากล
แม้ดัชนีหุ้นจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดผลการดำเนินงานของตลาด แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรพิจารณา ได้แก่
ไม่สามารถสะท้อนหุ้นทุกตัวในตลาดได้เต็มที่ เพราะดัชนีมักเลือก หุ้นบางกลุ่ม หรือ บางประเภทเท่านั้น ทำให้ไม่ครอบคลุมหุ้นทั้งหมดในตลาด
อาจถูกครอบงำโดยหุ้นใหญ่บางตัว เช่น ดัชนีที่ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด หุ้นขนาดใหญ่อาจมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากเกินไป
ไม่สะท้อนความเสี่ยงส่วนบุคคลของนักลงทุน ดัชนีแสดงภาพรวมตลาด แต่ไม่ได้บอกระดับความเสี่ยงหรือการกระจายสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับนักลงทุนแต่ละคน
ไม่รวมผลตอบแทนจากเงินปันผลเสมอไป บางดัชนีวัดเพียงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเท่านั้น ไม่ได้นับรวมเงินปันผลที่นักลงทุนได้รับ
อาจมีความล่าช้าในการอัปเดต การปรับเปลี่ยนหุ้นในดัชนีหรือการรีบาลานซ์อาจเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง ทำให้ดัชนีไม่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงล่าสุดได้ทันที
การซื้อขาย ดัชนีหุ้น เป็นกลยุทธ์ยอดนิยม ที่ช่วยให้นักลงทุนจับจังหวะตลาดได้ง่ายขึ้น ทั้งการเทรดระยะสั้นและระยะยาว ช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไร และ จัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น
นักลงทุนจะเลือกซื้อกองทุนรวม หรือ ETF ที่เลียนแบบดัชนีหุ้นโดยตรง เช่น กองทุนที่ลงทุนตาม SET50 หรือ S&P 500 วิธีนี้จะทำให้นักลงทุนถือหุ้นในสัดส่วนเดียวกับที่ปรากฏในดัชนี ไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัวเอง และ สามารถได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดโดยรวมอย่างสม่ำเสมอ
กลยุทธ์นี้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคกับกราฟราคาดัชนี เพื่อจับจังหวะซื้อขายตามทิศทางของตลาด เช่น เมื่อกราฟดัชนีแสดงแนวโน้มขาขึ้น นักลงทุนจะเลือกซื้อ และ เมื่อเห็นสัญญาณแนวโน้มเปลี่ยนเป็นขาลง ก็จะขายออกเพื่อลดความเสี่ยง วิธีนี้ช่วยให้นักลงทุนพยายามตามเทรนด์หลักของตลาดแทนการคาดเดาทิศทาง
ช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวน หรือ มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนสามารถใช้สัญญาฟิวเจอร์ส หรือ ออปชันของดัชนีหุ้น เพื่อป้องกันความเสียหายจากการถือหุ้นในพอร์ต เช่น หากคาดว่าดัชนีจะลดลง นักลงทุนอาจขายสัญญาฟิวเจอร์สเพื่อ ล็อกกำไร หรือ จำกัดการขาดทุน ซึ่งเป็นการบริหารความเสี่ยงที่นิยมในตลาดมืออาชีพ
กลยุทธ์นี้เน้นการเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์ ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีโดยรวม นักลงทุนจะวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานและเทคนิค เพื่อหาหุ้นที่คาดว่าจะ outperform ตลาด แล้วลงทุนในหุ้นเหล่านั้นและขายหุ้นที่คาดว่าจะ underperform ซึ่งต้องใช้ความรู้ และ ประสบการณ์สูง
นักลงทุนจะสลับพอร์ตไปลงทุนใน กลุ่มอุตสาหกรรม หรือ ดัชนีย่อย ที่คาดว่าจะเติบโตดีในแต่ละช่วงเวลา เช่น เมื่อตลาดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว กลุ่มพลังงาน หรือ การเงินอาจเป็นเป้าหมายการลงทุน แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงชะลอตัว กลุ่มป้องกันความเสี่ยงอย่าง กลุ่มสุขภาพ หรือ สินค้าอุปโภคบริโภค จะได้รับความสนใจมากขึ้น
ข้อดี
ข้อเสีย
สะท้อนภาพรวมตลาดหรือกลุ่มหุ้น
ไม่ครอบคลุมหุ้นทุกตัวในตลาด
ช่วยให้นักลงทุนติดตามแนวโน้มตลาดได้ง่าย
หุ้นใหญ่บางตัวอาจมีอิทธิพลมากเกินไป
เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบผลตอบแทน
ไม่สะท้อนความเสี่ยงหรือเป้าหมายลงทุนรายบุคคล
ลดความเสี่ยงจากการเลือกหุ้นรายตัว
ไม่รวมเงินปันผลในบางดัชนี
ใช้เป็นฐานในการสร้างกองทุนรวมและ ETF
อาจมีความล่าช้าในการอัปเดตหุ้นในดัชนี
ช่วยให้นักลงทุนกระจายการลงทุนได้ง่าย
ไม่สามารถสะท้อนปัจจัยเฉพาะของหุ้นรายตัว
ดัชนีหุ้น คือ เครื่องมือที่ใช้วัดภาพรวมของราคาหุ้นในตลาด หรือ กลุ่มหุ้นเฉพาะ เพื่อช่วยให้นักลงทุนติดตามแนวโน้ม และ วิเคราะห์ตลาดได้ง่ายขึ้น ดัชนีหุ้นมีหลายประเภท เช่น ดัชนีตลาดรวม ดัชนีอุตสาหกรรม และ ดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ ตัวอย่างที่รู้จักกันดีในไทยได้แก่ SET Index และ SET50 การดูดัชนีหุ้น ช่วยให้เข้าใจทิศทางตลาด และ ใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?
เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย
นักลงทุนสามารถซื้อกองทุนรวม หรือ ETF ที่เลียนแบบ ดัชนีหุ้น ทำให้ลงทุนในหุ้นหลายตัวตามสัดส่วนดัชนีนั้นได้ง่าย ๆ
ดัชนีหุ้น แสดงภาพรวมของตลาดหุ้นหรือกลุ่มหุ้น ขณะที่หุ้นรายตัวคือหุ้นของบริษัทหนึ่ง ๆ ที่มีราคาขึ้นลงตามปัจจัยเฉพาะของบริษัทนั้น
เนื่องจากพอร์ตของคุณอาจประกอบด้วยหุ้นที่ต่างจากในดัชนี หรือสัดส่วนการลงทุนไม่เหมือนกัน ทำให้ผลตอบแทนไม่ตรงกับดัชนี
SET50 รวมหุ้นใหญ่ 50 ตัวแรกที่มีสภาพคล่องสูง ส่วน SET100 รวมหุ้นใหญ่ 100 ตัวแรก ซึ่งรวม SET50 ด้วย ทำให้นักลงทุนเลือกติดตาม กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ หรือ ขนาดกลางได้
จุดดัชนี (Index Point) คือ หน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของ ดัชนีหุ้น แสดงว่าดัชนีขึ้น หรือ ลงเท่าไร ในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเห็น ภาพรวมแนวโน้มตลาดได้ง่ายขึ้น และ ติดตามความเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว
วันฐานของ SET คือวันที่ 30 เมษายน 2518 (1975) ซึ่งเป็นวันที่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการคำนวณดัชนี SET โดยตั้งค่าดัชนีไว้ที่ 100 จุด เพื่อใช้เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงมูลค่าตลาดหุ้นในช่วงเวลาต่อมา
Itsariya Doungnet
SEO Content Writer
อิสสริยา ดวงเนตร เป็นนักเขียนคอนเท้นต์ SEO ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ เรื่องตลาดเทรด และ การลงทุน เน้นสไตล์การเขียนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเนื้อหาความรู้จัดเต็ม พร้อมกับการผสมผสานเทคนิค SEO ที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาบทความได้ง่าย อย่าลืมติดตามกันนะคะ
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง