ตลาด
แพลตฟอร์ม
บัญชี
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
การแข่งขัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือ
หุ้น
เขียนโดย Itsariya Doungnet
อัปเดตแล้ว 18 พฤศจิกายน 2025
สารบัญ
หุ้นกู้ (Debenture) เป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนยอดนิยมของผู้ที่ต้องการสร้างรายได้แบบสม่ำเสมอและมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นทั่วไป แต่สำหรับผู้เริ่มต้น หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่าหุ้นกู้คืออะไร แตกต่างจากตราสารหนี้อื่นอย่างไร และควรลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักหุ้นกู้ตั้งแต่พื้นฐาน หุ้นกู้ คือ พร้อมคำอธิบายประเภทต่าง ๆ เกี่ยวกับวิธีการลงทุน และความเสี่ยงที่ควรรู้ พร้อมตัวอย่างการคำนวณผลตอบแทน เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนหุ้นกู้ได้อย่างมั่นใจและรอบด้าน
สาระสำคัญ
หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ที่บริษัทออกเพื่อระดมทุน นักลงทุนได้รับดอกเบี้ยและคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด
ประเภทของหุ้นกู้ มีทั้งดอกเบี้ยคงที่/ลอยตัว/ไม่มีดอกเบี้ย, มีประกัน/ไม่มีประกัน, ด้อยสิทธิ/ไม่ด้อยสิทธิ, ระยะสั้น/ยาว
วิธีลงทุน ซื้อผ่านธนาคารหรือโบรกเกอร์ เลือกหุ้นกู้ตามดอกเบี้ย อันดับเครดิต และติดตามผลการลงทุน
ความเสี่ยง รวมเครดิต สภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ย ราคา และเงินเฟ้อ นักลงทุนควรพิจารณาให้รอบคอบ
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ที่บริษัทเอกชน หรือ รัฐวิสาหกิจออก เพื่อระดมทุนจากนักลงทุน นักลงทุนให้เงินแก่บริษัทเป็นทุน และบริษัทมีหน้าที่จ่ายดอกเบี้ย ตามอัตราที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนดอายุ
หุ้นกู้แตกต่างจากหุ้นสามัญตรงที่ผู้ถือหุ้นกู้ ไม่ได้มีสิทธิ์ออกเสียงหรือเข้าร่วมบริหารบริษัท แต่มีสิทธิ์ได้รับเงินคืนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทประสบปัญหาทางการเงิน การลงทุนในหุ้นกู้จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการ รายได้ประจำและความเสี่ยงต่ำ–ปานกลาง และยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารเงินทุนของบริษัทเพื่อขยายกิจการหรือสนับสนุนโครงการลงทุนต่างๆ
หุ้นกู้สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตาม ลักษณะการค้ำประกัน สิทธิ์ของผู้ถือ และวิธีการจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเลือกลงทุนได้ตรงกับความเสี่ยงและเป้าหมายทางการเงิน
Fixed Rate Bond (หุ้นกู้ดอกเบี้ยคงที่) จ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ตลอดอายุหุ้นกู้ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรายได้คงที่และวางแผนการเงินง่าย
Floating Rate Bond (หุ้นกู้ดอกเบี้ยลอยตัว) ดอกเบี้ยจะปรับตามอัตราดอกเบี้ยตลาด เช่น MLR หรือ LIBOR ทำให้ผลตอบแทนอาจเพิ่มหรือลดตามสภาวะตลาด เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากดอกเบี้ยต่ำในระยะยาว
Zero-coupon Bond (หุ้นกู้ไม่มีดอกเบี้ย) ไม่จ่ายดอกเบี้ยระหว่างทาง แต่ขายหุ้นกู้ต่ำกว่ามูลค่าที่ครบกำหนด นักลงทุนได้รับผลตอบแทนเมื่อครบกำหนด เหมาะกับผู้ที่สามารถถือหุ้นกู้จนครบกำหนดและไม่ต้องการเงินสดระหว่างทาง
Secured Bond (หุ้นกู้แบบมีประกัน) มีทรัพย์สินหรือหลักประกัน เช่น ที่ดิน อาคาร หรือเครื่องจักร รองรับการชำระหนี้ ทำให้ความเสี่ยงต่ำ หากบริษัทผิดนัด นักลงทุนสามารถเรียกใช้หลักประกันทวงเงินคืนได้ เหมาะกับผู้ที่เน้นความปลอดภัยและรายได้ดอกเบี้ยสม่ำเสมอ
Unsecured Bond (หุ้นกู้ไม่มีประกัน) ไม่มีหลักประกันรองรับ ความเสี่ยงสูงกว่า แต่บางครั้งให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุน นักลงทุนจึงควรพิจารณาความน่าเชื่อถือของบริษัทอย่างรอบคอบ
Senior Bond (หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ) นักลงทุนมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนหุ้นกู้ด้อยสิทธิ มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิ แต่ผลตอบแทนอาจต่ำกว่า
Subordinated Bond (หุ้นกู้ด้อยสิทธิ) นักลงทุนจะได้รับชำระหนี้หลังผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ความเสี่ยงสูงกว่า แต่บางครั้งให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยง
หุ้นกู้ระยะสั้น ครบกำหนดภายใน 1–3 ปี เหมาะกับผู้ที่ต้องการเงินลงทุนคืนเร็ว หรือใช้เงินหมุนเวียนต่อ
หุ้นกู้ระยะยาว ครบกำหนดเกิน 3 ปี ให้รายได้ดอกเบี้ยสม่ำเสมอตลอดอายุหุ้นกู้ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำระยะยาว แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและสถานะทางการเงินของบริษัท
นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นกู้ได้ผ่าน ธนาคารหรือโบรกเกอร์ ที่ได้รับอนุญาต โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
เปิดบัญชีลงทุน: ก่อนอื่นต้องมีบัญชีเงินฝากหรือบัญชีลงทุนกับธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์
เลือกหุ้นกู้ที่ต้องการลงทุน: พิจารณาตามประเภทหุ้นกู้ ระยะเวลา ดอกเบี้ย ความเสี่ยง และอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้
ซื้อและติดตามการลงทุน: หลังซื้อหุ้นกู้แล้ว นักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่กำหนด และควรติดตามข่าวสารหรืออันดับเครดิตของบริษัทเพื่อประเมินความเสี่ยง
สมมติคุณซื้อหุ้นกู้มูลค่า 1,000,000 บาท ดอกเบี้ย 5% ต่อปี ครบกำหนด 3 ปี
ดอกเบี้ยต่อปี = 1,000,000 × 5% = 50,000 บาท
รายได้ดอกเบี้ยรวม 3 ปี = 50,000 × 3 = 150,000 บาท
เงินต้นเมื่อครบกำหนด = 1,000,000 บาท
ผลตอบแทนรวม = 1,000,000 + 150,000 = 1,150,000 บาท
นักลงทุนสามารถใช้ Yield หรืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นกู้ เพื่อเปรียบเทียบกับหุ้นกู้หรือสินทรัพย์อื่น ๆ
การลงทุนในหุ้นกู้ นักลงทุนควรพิจารณา อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ซึ่งช่วยบอกว่า บริษัทมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นตามกำหนดมากน้อยแค่ไหน
หุ้นกู้กลุ่มนี้มี ความน่าเชื่อถือสูงถึงปานกลาง จัดว่า “น่าลงทุน” มีอันดับเครดิตตั้งแต่ AAA (สูงสุด) ไปจนถึง BBB- ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ต่ำถึงปานกลาง ดอกเบี้ยมักไม่สูงมาก แต่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง หมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างพอร์ตลงทุนแบบมั่นคงและหลีกเลี่ยงความผันผวนสูง
หุ้นกู้กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงกว่า กลุ่มนี้มักลงทุนเพื่อ เก็งกำไร และจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่า โดยอันดับเครดิตเริ่มตั้งแต่ BB+ ลงไปถึง C ซึ่ง C มีความเสี่ยงสูงมากที่จะไม่จ่ายดอกเบี้ยหรือเงินต้น และ D คือสถานะผิดนัดชำระหนี้ นักลงทุนควรพร้อมรับความเสี่ยงสูงและมีการติดตามสถานะการเงินของผู้ออกหุ้นกู้อย่างใกล้ชิด
หุ้นกู้กลุ่มนี้ ไม่มีอันดับเครดิต อาจเพราะไม่ได้ขอจัดอันดับหรือยังไม่ได้รับการพิจารณา มักให้ดอกเบี้ยสูงเพื่อดึงดูดนักลงทุน แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงสูงมาก จึงควรศึกษาข้อมูลบริษัทอย่างละเอียดก่อนลงทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ และสามารถประเมินความเสี่ยงจากข้อมูลพื้นฐานของบริษัทได้เอง
นอกจากอันดับเครดิตหลัก นักลงทุนยังควรดู แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งบอกทิศทางของอันดับในอนาคต
Positive (บวก) = อาจปรับอันดับขึ้น
Stable (คงที่) = อันดับอาจไม่เปลี่ยน
Negative (ลบ) = อาจปรับอันดับลง
Developing (ไม่แน่นอน) = อันดับอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ทั้งขึ้นและลง
แม้ว่าหุ้นกู้จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญ แต่ก็ยังมีหลายด้านที่นักลงทุนควรพิจารณา
ความเสี่ยงที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินต้นตามกำหนด หากบริษัทมีปัญหาทางการเงิน นักลงทุนอาจสูญเสียเงินบางส่วนหรือทั้งหมด หุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตสูง (Investment Grade) มักมีความเสี่ยงต่ำกว่า แต่หุ้นกู้ที่มีอันดับต่ำ (Speculative Grade) มีโอกาสผิดนัดสูงกว่า
บางครั้งนักลงทุนต้องการขายหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด แต่ ตลาดซื้อขายหุ้นกู้มีไม่เพียงพอ ทำให้ขายได้ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ลงทุนหรือขายไม่ได้ทันที หุ้นกู้ที่มีการซื้อขายสูงและบริษัทใหญ่มักมีสภาพคล่องดีกว่า นักลงทุนควรพิจารณาว่าหุ้นกู้ที่ถือสามารถขายคืนได้ง่ายเมื่อจำเป็น และเตรียมเงินสำรองสำหรับกรณีที่ขายล่าช้า
เกิดขึ้นเมื่อ อัตราดอกเบี้ยในตลาดเปลี่ยนแปลง หากดอกเบี้ยตลาดสูงขึ้น ราคาหุ้นกู้ที่ถืออยู่จะลดลง นักลงทุนที่ขายก่อนครบกำหนดอาจขาดทุนได้ หุ้นกู้ระยะยาวมักได้รับผลกระทบจากความผันผวนของดอกเบี้ยมากกว่าระยะสั้น
ราคาหุ้นกู้อาจ ขึ้นลงตามอุปสงค์และอุปทานในตลาด หรือสถานะการเงินของบริษัท หากนักลงทุนขายหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด อาจขายได้ราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา หุ้นกู้แบบไม่มีประกันหรือ Speculative Grade มักมีความผันผวนของราคาสูง
ดอกเบี้ยของหุ้นกู้บางประเภท อาจไม่ทันเงินเฟ้อ ทำให้รายได้จากดอกเบี้ยมีค่าซื้อจริงลดลง ตัวอย่างเช่น หากดอกเบี้ยหุ้นกู้ 4% ต่อปี แต่เงินเฟ้อ 5% ต่อปี นักลงทุนจะขาดทุนจากค่าซื้อที่ลดลงในระยะยาว หุ้นกู้แบบปรับดอกเบี้ย (Floating Rate) อาจช่วยลดความเสี่ยงด้านนี้ได้
ผลตอบแทนของหุ้นกู้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อ ความเสี่ยงและผลตอบแทน
หุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตสูง (Investment Grade) มีความเสี่ยงต่ำ นักลงทุนจึงมักได้รับ ดอกเบี้ยต่ำกว่า หุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตต่ำ (Speculative Grade) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ให้ ผลตอบแทนสูงกว่า เพื่อชดเชยความเสี่ยง
หุ้นกู้ระยะสั้น (Short-term): ครบกำหนดภายใน 1-3 ปี มักมีผลตอบแทนต่ำกว่า แต่ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยและตลาดต่ำ
หุ้นกู้ระยะยาว (Long-term): ครบกำหนดเกิน 3 ปีขึ้นไป ให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่มีความเสี่ยงจาก อัตราดอกเบี้ยและความผันผวนของราคามากขึ้น
หากอัตราดอกเบี้ยตลาดเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นกู้ที่ถืออยู่จะลดลง ทำให้ผลตอบแทนจากการขายก่อนครบกำหนดลดลง ตลาดหุ้นกู้ที่มีความต้องการสูงอาจช่วยให้นักลงทุนขายได้ราคาดีกว่า นักลงทุนควรติดตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและสภาพตลาด เพื่อวางแผนซื้อขายหุ้นกู้ได้อย่างเหมาะสม
หุ้นกู้มีประกัน (Secured): มีหลักประกันรองรับ ทำให้ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนอาจต่ำกว่าหุ้นกู้ไม่มีประกัน
หุ้นกู้ไม่มีประกัน (Unsecured): ความเสี่ยงสูงกว่า จึงให้ดอกเบี้ยสูงกว่า
หุ้นกู้ด้อยสิทธิ / ไม่ด้อยสิทธิ (Subordinated / Senior): หุ้นกู้ด้อยสิทธิ หากบริษัทผิดนัดชำระหนี้ นักลงทุนจะได้รับเงินหลังผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ทำให้ความเสี่ยงสูงกว่าและผลตอบแทนอาจสูงขึ้น
ข้อดี
ข้อเสีย
ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคารและพันธบัตรรัฐบาล
ผลตอบแทนอาจต่ำกว่าหุ้นสามัญหากบริษัทเติบโตสูง
มีรายได้ประจำจากดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนได้รับเงินสม่ำเสมอ
หากขายก่อนครบกำหนด ราคาหุ้นกู้อาจผันผวนตามอัตราดอกเบี้ยตลาด
ความปลอดภัยสูงกว่าหุ้นสามัญ โดยเฉพาะหุ้นกู้มีประกันหรืออันดับเครดิตสูง
หุ้นกู้ไม่มีประกันหรือด้อยสิทธิ มีความเสี่ยงสูงในการผิดนัดชำระหนี้
ช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
ผลตอบแทนจากหุ้นกู้บางประเภทอาจถูกเงินเฟ้อกลบไป ทำให้ค่าซื้อจริงลดลง
สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ในตลาดรอง ทำให้นักลงทุนมีความยืดหยุ่น
หุ้นกู้บางประเภทมีสภาพคล่องต่ำ ขายได้ยากในบางช่วงเวลา
หุ้นกู้เป็นเครื่องมือการลงทุนที่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ รายได้ประจำและความเสี่ยงต่ำ ผู้ลงทุนกลุ่มนี้มักไม่ชอบความผันผวนสูงเหมือนหุ้นสามัญ แต่ต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าการฝากเงินธนาคารหรือเงินฝากประจำ
การเลือกหุ้นกู้ควรพิจารณา อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ เพื่อให้ตรงกับระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนสามารถยอมรับได้ หุ้นกู้ที่มีอันดับสูงมีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ดอกเบี้ยต่ำ ส่วนหุ้นกู้ที่มีอันดับต่ำให้ผลตอบแทนสูง แต่ความเสี่ยงสูงขึ้นตามไปด้วย
การกระจายการลงทุน เป็นอีกหัวใจสำคัญของการลงทุนหุ้นกู้ นักลงทุนควรลงทุนในหลายบริษัทและหลายประเภทของหุ้นกู้ เช่น หุ้นกู้มีประกันและไม่มีประกัน หุ้นกู้ระยะสั้นและระยะยาว เพื่อลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังไม่มั่นใจในการเลือกหุ้นกู้ด้วยตัวเอง การลงทุนผ่าน กองทุนรวมตราสารหนี้ หรือกองทุน RMF/ESG เป็นทางเลือกที่ดี เพราะช่วยให้กระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ ลดความยุ่งยากในการคัดเลือกหุ้นกู้แต่ละตัว และยังสามารถลงทุนด้วยเงินเริ่มต้นที่ไม่สูงมาก
หุ้นกู้ คือ ทางเลือกการลงทุนที่ให้ รายได้ประจำและความเสี่ยงต่ำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงมากกว่าผลตอบแทนสูงสุด นักลงทุนควรพิจารณา อันดับเครดิต อายุ และประเภทหุ้นกู้ เพื่อให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การกระจายการลงทุนและเริ่มจากกองทุนตราสารหนี้หรือ RMF/ESG จะช่วยลดความเสี่ยงสำหรับผู้เริ่มต้น
พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?
เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย
หุ้นกู้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการ รายได้ประจำและความเสี่ยงต่ำ เช่น ผู้ใกล้เกษียณ หรือผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคง
หุ้นกู้ไม่จำเป็นต้องจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน การจ่ายดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับ เงื่อนไขของหุ้นกู้แต่ละประเภท บางตัวจ่ายรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี
ดอกเบี้ยจากหุ้นกู้ต้องเสีย ภาษีเงินได้ตามกฎหมายไทย โดยส่วนใหญ่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้จะ หักภาษี ณ ที่จ่าย ให้เรียบร้อยก่อนจ่ายดอกเบี้ย
หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated Bond) คือหุ้นกู้ที่นักลงทุนจะได้รับเงิน หลังผู้ถือหุ้นกู้ปกติ (ไม่ด้อยสิทธิ) หากบริษัทผิดนัดชำระหนี้ ความเสี่ยงสูงกว่า แต่บางครั้งผลตอบแทนอาจสูงกว่า
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (Senior Bond) คือหุ้นกู้ที่นักลงทุนมีสิทธิได้รับชำระหนี้ ก่อนหุ้นกู้ด้อยสิทธิ มีความเสี่ยงต่ำกว่าและมักให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิ
หุ้นกู้เอกชนคือหุ้นกู้ที่ออกโดย บริษัทเอกชน ไม่ใช่รัฐบาล มีความเสี่ยงสูงกว่า แต่บางครั้งให้ ผลตอบแทนสูงกว่า ขึ้นอยู่กับอันดับเครดิตและสภาพคล่องของบริษัท
Itsariya Doungnet
SEO Content Writer
อิสสริยา ดวงเนตร เป็นนักเขียนคอนเท้นต์ SEO ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ เรื่องตลาดเทรด และ การลงทุน เน้นสไตล์การเขียนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเนื้อหาความรู้จัดเต็ม พร้อมกับการผสมผสานเทคนิค SEO ที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาบทความได้ง่าย อย่าลืมติดตามกันนะคะ
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง