Facebook Pixel
Logo
หน้าหลัก   Breadcrumb right  บทความ   Breadcrumb right  Blockchain คือ

สกุลเงินดิจิทัล

Blockchain คืออะไร? คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้นแบบเข้าใจง่าย

เขียนโดย Itsariya Doungnet

อัปเดตแล้ว 19 พฤศจิกายน 2025

Blockchain-คือ

สารบัญ

    ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “Blockchain” กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ทั้งในวงการการเงิน เทคโนโลยี ไปจนถึงธุรกิจสมัยใหม่ หลายคนอาจคุ้นหูจากสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin หรือ Ethereum แต่จริง ๆ แล้ว Blockchain ไม่ได้มีไว้แค่สำหรับเงินดิจิทัลเท่านั้น  แต่ Blockchain คือ เทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลของโลกได้อย่างมหาศาล

    บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Blockchain คืออะไร ทำงานอย่างไร และทำไมจึงสำคัญต่ออนาคตของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล อธิบายแบบเข้าใจง่าย ไม่ต้องมีพื้นฐานมาก่อน เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่อยากเปิดโลกสู่เทคโนโลยีแห่งอนาคตนี้

    สาระสำคัญ

    • Blockchain คือ ฐานเก็บข้อมูลเป็น “บล็อก” ที่เชื่อมต่อเป็น “ห่วงโซ่” ทำให้ข้อมูลปลอดภัย ตรวจสอบย้อนหลังได้ และลดการพึ่งพาตัวกลาง

    • ทุกธุรกรรมถูกบันทึกลงในเครือข่ายโปร่งใสและตรวจสอบได้ ผู้ใช้งานทุกคนสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ ทำให้ลดความเสี่ยงจากการปลอมแปลงและการแก้ไขข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    • การตัดตัวกลางออกช่วยให้ธุรกรรมเกิดเร็วขึ้น ลดค่าธรรมเนียม และสามารถทำงานได้ทั่วโลก ไม่มีข้อจำกัด

    • Blockchain ไม่ได้จำกัดแค่เงินดิจิทัล แต่ยังนำไปใช้ใน NFT, สัญญาอัจฉริยะ, ซัพพลายเชน, การโหวตออนไลน์ และการจัดการข้อมูลสำคัญต่าง ๆ

    ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง

    ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ

    เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

    บล็อกเชน หรือ Blockchain คืออะไร?

    Blockchain คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ที่ทำให้การบันทึกธุรกรรมหรือข้อมูลต่าง ๆ มีความปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทุกข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ “บล็อก” (Block)

    ซึ่งแต่ละบล็อกจะเชื่อมโยงต่อกันเป็น “ห่วงโซ่” (Chain) ด้วยรหัสเข้ารหัสหรือแฮช (Hash) เพื่อป้องกันการแก้ไขย้อนหลัง เทคโนโลยีนี้ช่วยลดการพึ่งพาคนกลาง เพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล และถูกนำไปใช้ในหลายด้าน เช่น เงินดิจิทัล สัญญาอัจฉริยะ และการจัดการข้อมูลในระบบดิจิทัลต่าง ๆ

     

    จุดเริ่มต้นของบล็อกเชน (Blockchain)

    เทคโนโลยี Blockchain เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2008 โดยบุคคลที่ใช้ชื่อว่า Satoshi Nakamoto ซึ่งได้เสนอแนวคิดนี้ในเอกสารไวท์เปเปอร์ของ Bitcoin จุดประสงค์หลัก คือ การสร้างระบบเงินดิจิทัลที่ไม่ต้องพึ่งพาธนาคารหรือหน่วยงานกลาง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถโอนเงินหรือทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรงอย่างปลอดภัยและโปร่งใส

    แนวคิดสำคัญของ Blockchain คือ การใช้ โครงสร้างแบบบล็อกต่อเนื่องกันเป็นห่วงโซ่ และการเข้ารหัสข้อมูลด้วย Hash Function รวมถึงการทำงานร่วมกับระบบ Consensus Algorithm เพื่อให้เครือข่ายทั้งหมดยอมรับความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งความคิดเหล่านี้ทำให้ข้อมูลที่ถูกบันทึกลงในบล็อกเชนมีความปลอดภัย ยากต่อการแก้ไข และตรวจสอบย้อนหลังได้

    หลังจากนั้น Blockchain จึงถูกพัฒนาต่อยอดจากการใช้ใน Bitcoin ไปสู่การประยุกต์ใช้งานด้านอื่น ๆ เช่น Ethereum สำหรับสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) และการจัดการข้อมูลในธุรกิจหรือซัพพลายเชน ทำให้บล็อกเชนกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญในยุคดิจิทัลปัจจุบัน

     

    โลกที่พึ่งพาตัวกลาง และปัญหาของระบบเดิม

    ในชีวิตประจำวัน เรามักต้องพึ่งพาตัวกลาง เช่น ธนาคาร แพลตฟอร์มโซเชียล หรือ Marketplace ตัวกลางเหล่านี้ช่วยให้การทำธุรกรรมหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปอย่างปลอดภัยและถูกต้อง เช่น ธนาคารช่วยให้เราส่งเงิน แพลตฟอร์มโซเชียลช่วยยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน และ Marketplace เป็นตัวกลางในการซื้อขายสินค้า

    แต่การพึ่งพาตัวกลางก็มีข้อจำกัด เราต้อง “เชื่อใจ” ว่าตัวกลางจะทำงานอย่างซื่อสัตย์และปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีต้นทุนและความล่าช้า เช่น การโอนเงินระหว่างธนาคารอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน และบางครั้งผู้ใช้ต้องเสียค่าธรรมเนียมสูงเพื่อให้ธุรกรรมผ่านตัวกลาง ระบบเดิมจึงมีความเสี่ยง หากตัวกลางเกิดปัญหา ถูกโจมตี หรือทำงานผิดพลาด ข้อมูลหรือเงินของเราก็อาจเสียหาย

    โลกที่พึ่งพาตัวกลางเต็มไปด้วย ความล่าช้า ต้นทุนสูง และความเสี่ยง ซึ่งเป็นปัญหาที่เทคโนโลยีอย่างบล็อกเชนพยายามแก้ไข

     

    ยกตัวอย่างการโอนเงิน

    สมมติว่า A และ B มีบัญชีที่ ธนาคาร 1 ส่วน C และ D มีบัญชีที่ ธนาคาร 2

    • ถ้า A โอนเงินให้ B จะทำผ่านธนาคาร 1

    • ถ้า A โอนเงินให้ D ต้องผ่านธนาคาร 1 และธนาคาร 2

    ทุกธุรกรรมจึงต้องพึ่งพาตัวกลางเป็นตัวตรวจสอบความถูกต้อง

     

    ประเภทของ Blockchain มีอะไรบ้าง?

    Blockchain สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ตามการเข้าถึงและการควบคุมการใช้งาน ได้แก่

     

    Blockchain สาธารณะ (Public blockchain)

    Blockchain ประเภทนี้เปิดให้ทุกคนเข้าร่วมเครือข่ายได้ ไม่มีข้อจำกัด เช่น Bitcoin หรือ Ethereum

    • การเข้าถึง: ใครก็สามารถอ่าน เขียน หรือยืนยันธุรกรรมได้

    • ความปลอดภัย: มั่นคงสูงเพราะมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก ตรวจสอบความถูกต้องด้วยระบบ Consensus Algorithm

    • การใช้งาน: เน้นความโปร่งใสและกระจายศูนย์ เหมาะกับเงินดิจิทัลหรือแอปพลิเคชันที่ทุกคนสามารถตรวจสอบข้อมูลได้

     

    Blockchain ส่วนตัว (Private blockchain)

    Blockchain ประเภทนี้จะจำกัดการเข้าถึงเฉพาะบุคคลหรือองค์กรที่ได้รับอนุญาต เช่น ระบบภายในบริษัทหรือธนาคาร

    • การเข้าถึง: ต้องได้รับอนุญาตจึงสามารถเข้าร่วมและบันทึกข้อมูลได้

    • ความปลอดภัย: เน้นความปลอดภัยภายในองค์กรและควบคุมการเข้าถึง แต่ความโปร่งใสสำหรับภายนอกน้อยกว่า

    • การใช้งาน: เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการระบบตรวจสอบภายใน เช่น การจัดการซัพพลายเชน หรือข้อมูลทางการแพทย์

     

    Blockchain ทำงานอย่างไร?

    เรารู้แล้วว่าความเชื่อใจ (Trust) คือ หัวใจสำคัญของธุรกิจตัวกลาง โดยเฉพาะธนาคาร Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่ช่วย กระจายความเชื่อใจ ออกจากตัวกลาง ทำให้ผู้คนสามารถทำธุรกรรม โดยตรงระหว่างกัน (Peer-to-Peer) ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร

     

    การกระจายบัญชีให้ทุกคนถือ

    ลองนึกภาพว่า A, B, C และ D ต้องการโอนเงินหากันโดยไม่ผ่านธนาคาร Blockchain เสนอแนวคิดว่า แทนที่จะให้ธนาคารเก็บบัญชี เราให้ทุกคนมีสำเนาบัญชีเดียวกัน

    • ทุกคนสามารถตรวจสอบยอดเงินของผู้อื่นได้

    • หากใครพยายามแก้ไขบัญชีตัวเอง ข้อมูลจะไม่ตรงกับคนอื่น ทำให้ทุกคนรู้ทันทีว่ามีการโกง

    • เวลามีธุรกรรมเกิดขึ้น เช่น A โอนเงินให้ D ข้อมูลจะถูก ประกาศไปยังทุกคนในเครือข่าย เพื่ออัปเดตบัญชีทุกคนพร้อมกัน ทำให้ไม่สามารถปฏิเสธภายหลังว่าไม่ได้โอนเงิน

     

    ทำไมถึงเรียกว่า Blockchain?

    Blockchain คือ วิธีเก็บข้อมูลแบบกล่องต่อเนื่อง

    • เมื่อมีธุรกรรมใหม่ ๆ จะถูกจัดเก็บรวมกันเป็นกล่องหนึ่ง (Block)

    • เมื่อ Block เต็ม จะปิดและสร้าง Block ใหม่ โดย เชื่อมโยงกับ Block ก่อนหน้า

    สิ่งที่ทำให้ Blockchain ต่างจากการเก็บบัญชีทั่วไปคือ ข้อมูลเก่าไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ Block ใหม่จะถูกสร้างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ในลักษณะ เหมือนโซ่ของกล่อง จึงเรียกว่า Blockchain

     

    การเข้ารหัส (Cryptographic Hash)

    แต่ละ Block จะมี Hash ของ Block ก่อนหน้า ซึ่งเป็นรหัสเฉพาะที่ตรวจสอบความถูกต้อง

    • ถ้ามีใครแก้ไขข้อมูลเก่า Hash จะเปลี่ยนทันที

    • ทุกคนในเครือข่ายจะเห็นว่าข้อมูลถูกแก้ไข ทำให้ไม่สามารถปลอมแปลงธุรกรรมได้

    ตัวอย่าง: หากข้อความ “How are you” ถูกเปลี่ยนเป็น “How are you?” Hash ก็จะเปลี่ยนทันที

     

    ประโยชน์ของ Blockchain

    การใช้ Blockchain ช่วยให้เราทำธุรกรรมโดยไม่ต้องพึ่งตัวกลาง ทำให้ผู้ใช้งานควบคุมทรัพย์สินของตัวเองได้ ระบบโปร่งใส ตรวจสอบได้ ปลอดภัย และลดต้นทุน รวมถึงสามารถใช้งานได้ทั่วโลกโดยไม่มีข้อจำกัด

     

    ผู้ใช้เป็นเจ้าของทรัพย์สินจริง

    เวลาฝากเงินในธนาคารหรือมีไอเทมในเกมออนไลน์ระบบเดิม เราเป็นแค่ “ผู้ถือบัญชี” ตัวกลางสามารถจัดการ แก้ไข หรือจำกัดการเข้าถึงทรัพย์สินของเราได้ แต่ใน Blockchain ผู้ใช้เป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยตรง เช่น เงินคริปโต NFT หรือโทเคนต่าง ๆ คุณสามารถโอน ขาย หรือจัดการทรัพย์สินได้เองทันที ไม่ต้องขออนุมัติจากใคร ทำให้ผู้ใช้มีอิสระและควบคุมทรัพย์สินของตัวเองเต็มที่

     

    ระบบเปิดและเท่าเทียม

    Blockchain เป็นระบบสาธารณะและเปิด ทุกคนสามารถเข้าร่วมเครือข่าย ตรวจสอบธุรกรรม และยืนยันความถูกต้องได้เท่าเทียมกัน ไม่มีใครเลือกปฏิบัติหรือจำกัดการเข้าถึง การตัดสินใจขึ้นอยู่กับกฎของระบบ ไม่ใช่ความชอบหรืออำนาจของตัวกลาง ตัวอย่างเช่น ทุกคนสามารถโอนเงิน คริปโตเคอร์เรนซี ไปยังใครก็ได้ ไม่ถูกจำกัด

     

    โปร่งใสและตรวจสอบได้

    ทุกธุรกรรมถูกบันทึกเป็นโซ่ของ Block ทุกคนในเครือข่ายสามารถตรวจสอบได้ หากมีใครพยายามแก้ไขย้อนหลัง ข้อมูลจะไม่ตรงกับเครือข่าย ทำให้ไม่สามารถปลอมแปลงธุรกรรมได้ คุณสามารถดูว่าใครโอนเงินให้ใคร จำนวนเท่าไหร่ ได้ทุกเวลา

     

    ลดต้นทุนธุรกรรม

    การตัดตัวกลางออกช่วยลดค่าธรรมเนียมและต้นทุนในการทำธุรกรรม ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ธนาคารหรือผู้ให้บริการกลาง ลดขั้นตอนและความล่าช้า ทำให้ธุรกรรมเกิดเร็วขึ้น ต้นทุนต่ำลง และเหมาะสำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศหรือธุรกิจออนไลน์

     

    ปลอดภัยจากการโจมตีและการปลอมแปลง

    Blockchain ใช้การเข้ารหัสขั้นสูง (Cryptographic Hash) ทุก Block จะเชื่อมโยงกับ Block ก่อนหน้า หากใครพยายามแก้ไข Block เก่า Hash จะไม่ตรง ทำให้เครือข่ายรู้ทันที ระบบนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีหรือการแก้ไขข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

     

    ระบบไร้พรมแดน

    Blockchain ไม่ขึ้นอยู่กับประเทศ หรือ ธนาคารกลาง ผู้คนจากทั่วโลกสามารถส่งและรับเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยตรง ไม่จำกัดเวลา วันหยุด หรือสกุลเงิน ทำให้การโอนเงินข้ามประเทศสามารถทำได้ ภายในไม่กี่นาที ไม่ต้องผ่านธนาคารหลายแห่ง ระบบนี้ช่วยให้ธุรกรรมเกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทั่วโลกเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียม

     

    การใช้งานหลากหลาย

    Blockchain ไม่ได้จำกัดแค่การเงินเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้ในหลายด้าน เช่น การเก็บข้อมูลสำคัญ การจัดการลิขสิทธิ์ของ NFT การโหวตออนไลน์ หรือการติดตามซัพพลายเชน ผู้ใช้และธุรกิจสามารถปรับระบบให้เหมาะกับความต้องการของตนเองได้อย่างยืดหยุ่น ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ และลดความจำเป็นต้องพึ่งพาตัวกลาง

     

    ลดความจำเป็นต้องเชื่อใจใคร

    Blockchain ทำให้เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวกลางหรือผู้ดูแลข้อมูล ทุกธุรกรรมจะถูกตรวจสอบและยืนยันโดยผู้ใช้งานในเครือข่ายทั้งหมด ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลถูกต้อง แม้ไม่รู้จักกัน การโอนเงินคริปโตจาก A ไป B ไม่ต้องผ่านธนาคารหรือแพลตฟอร์มใด ๆ ระบบจะตรวจสอบว่า A มีเงินเพียงพอ และโอนสำเร็จจริงโดยอัตโนมัติ

     

    ตัวอย่างการใช้งาน Blockchain ในชีวิตจริง

    • เงินดิจิทัล: เช่น Bitcoin หรือ Ethereum ใช้สำหรับโอนเงิน ซื้อขาย และลงทุนโดยไม่ต้องพึ่งพาธนาคาร ทำให้โอนเงินระหว่างประเทศรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำ

    • NFT และลิขสิทธิ์ดิจิทัล: ใช้ยืนยันความเป็นเจ้าของงานศิลปะ ดนตรี ไอเทมในเกม หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ทำให้ผู้สร้างผลงานสามารถควบคุมสิทธิ์และขายงานได้โดยตรง

    • ซัพพลายเชน: ติดตามกระบวนการผลิตและจัดส่งสินค้าอย่างโปร่งใส ตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงสินค้าถึงมือผู้บริโภค ลดการปลอมแปลงและข้อผิดพลาดในขั้นตอนต่าง ๆ

    • โหวตออนไลน์: ใช้ระบบ Blockchain ลดความเสี่ยงจากการปลอมแปลงผลโหวต ทำให้การเลือกตั้งหรือโพลออนไลน์มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมั่นใจว่าข้อมูลไม่ถูกแก้ไข

    • ระบบข้อมูลสำคัญ: เก็บข้อมูลทางการแพทย์ เอกสารสำคัญ หรือสัญญาดิจิทัลอย่างปลอดภัย ตรวจสอบย้อนหลังได้ทุกขั้นตอน และลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือถูกแก้ไข

     

    แนวโน้มอนาคตของ Blockchain

    แนวโน้มของ Blockchain ในอนาคตคาดว่าจะมีบทบาทมากขึ้น เพราะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ความโปร่งใส และเปิดโอกาสสร้างนวัตกรรมใหม่อีกมากมาย

     

    มีการยอมรับที่เพิ่มขึ้น

    Blockchain กำลังได้รับการยอมรับจากธนาคารและรัฐบาลทั่วโลก เนื่องจากสามารถเพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยในการทำธุรกรรม ตัวอย่างเช่น ธนาคารหลายแห่งเริ่มใช้ Blockchain ในการโอนเงินระหว่างประเทศ ลดเวลาการดำเนินการจากหลายวันเหลือไม่กี่ชั่วโมง

    รัฐบาลบางประเทศก็ใช้เทคโนโลยีนี้ในการจัดเก็บข้อมูลสาธารณะ เช่น การลงทะเบียนทรัพย์สิน หรือการออกใบอนุญาตต่าง ๆ การยอมรับที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ Blockchain กลายเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาระบบดิจิทัลในอนาคต

     

    เทคโนโลยีใหม่และการพัฒนา

    Blockchain มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย เช่น

    • Layer 2 Solutions: ช่วยเพิ่มความเร็วและลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบนเครือข่ายหลัก

    • Proof-of-Stake (PoS): แทนที่การใช้พลังงานสูงแบบ Proof-of-Work ทำให้ระบบประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

    • การผสาน AI กับ Blockchain: ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลทำได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการตรวจสอบธุรกรรมอัตโนมัติและพัฒนาระบบอัจฉริยะ

     

    โอกาสในการสร้างนวัตกรรมใหม่

    Blockchain เปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรมใหม่ในหลายอุตสาหกรรม เช่น

    • ระบบการเงิน: การเงินแบบกระจาย (DeFi) และการโทเคนสินทรัพย์จริง (tokenization) ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น

    • โลจิสติกส์และซัพพลายเชน: การติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล

    • การศึกษา: การเก็บผลการเรียนและประกาศนียบัตรบน Blockchain ทำให้ตรวจสอบได้ง่ายและปลอมแปลงยาก

    • เกมออนไลน์และบริการดิจิทัล: NFT และระบบเศรษฐกิจในเกมทำให้ผู้เล่นสามารถเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลจริง

     

    บทสรุป: Blockchain กับอนาคตของโลกดิจิทัล

    Blockchain  คือ ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีของคริปโต แต่กลายเป็นรากฐานของโลกดิจิทัลไร้ตัวกลางที่ช่วยให้ข้อมูลและธุรกรรมมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น การนำ Blockchain มาใช้เปิดโอกาสในการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่การเงิน การลงทุน ไปจนถึงซัพพลายเชนและบริการดิจิทัลอื่น ๆ ทำให้ชีวิตประจำวันของผู้คนสะดวกและเชื่อถือได้มากขึ้น

    นอกจากนี้ Blockchain ยังสร้างแรงบันดาลใจให้โลกเปลี่ยนจากแนวคิด “Trust in Middlemen” สู่ “Trust in the System” ซึ่งหมายถึง การวางใจในระบบและเทคโนโลยีมากกว่าตัวกลางเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมและรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ ที่ยั่งยืนและโปร่งใส

    พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?

    เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย

    รับสิทธิ์เข้าถึงฟรี

    สารบัญ

      คำถามที่พบบ่อย

      เพราะข้อมูลจะถูกบันทึกเป็นบล็อกแต่ละบล็อก และเชื่อมต่อกันเป็นโซ่ด้วย Hash บล็อกใหม่จะอ้างอิงบล็อกก่อนหน้า ทำให้เกิดความต่อเนื่องและตรวจสอบได้

      ไม่ ใช้ได้หลายด้าน เช่น การโอนเงินดิจิทัล, DeFi,ติดตามสินค้า, NFT และ การโหวตออนไลน์

      ขึ้นอยู่กับความเร็วของเครือข่ายและการยืนยันธุรกรรม เช่น Bitcoin ประมาณ 10 นาทีต่อบล็อก และ Ethereum ประมาณ 15 วินาที เป็นต้น

      Consensus Algorithm และ Smart Contract ช่วยให้ผู้ใช้งานยืนยันธุรกรรมเองโดยไม่ต้องพึ่งธนาคาร ตัวกลาง หรือหน่วยงานกลาง

      AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติ Blockchain ช่วยเก็บข้อมูลปลอดภัยและตรวจสอบได้ รวมกันช่วยให้ระบบธุรกิจอัจฉริยะขึ้น

      ติดตามสินค้าตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ลดการปลอมแปลง เพิ่มความโปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ตัวอย่างเช่น การติดตามอาหารสดจากฟาร์มถึงซูเปอร์มาร์เก็ต

      Itsariya Doungnet

      Itsariya Doungnet

      SEO Content Writer

      อิสสริยา ดวงเนตร เป็นนักเขียนคอนเท้นต์ SEO ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ เรื่องตลาดเทรด และ การลงทุน เน้นสไตล์การเขียนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเนื้อหาความรู้จัดเต็ม พร้อมกับการผสมผสานเทคนิค SEO ที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาบทความได้ง่าย อย่าลืมติดตามกันนะคะ

      เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง

      scroll top