Facebook Pixel
Logo
หน้าหลัก   Breadcrumb right  บทความ   Breadcrumb right  Liquidity คือ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค

Liquidity คืออะไร? สภาพคล่องสำคัญต่อการซื้อขายอย่างไร

เขียนโดย Itsariya Doungnet

อัปเดตแล้ว 3 ตุลาคม 2025

liquidity-คือ

สารบัญ

    Liquidity คือ แนวคิดสำคัญในโลกการเงินที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตลาดการลงทุนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการใช้เงินและการซื้อขายในชีวิตประจำวัน

    เคยไหมที่มีทรัพย์สินแต่ขายไม่ออกทันเวลา หรือจำเป็นต้องขายขาดทุน? นั่นคือผลของการขาดสภาพคล่อง บทความนี้จะพาไปดูว่า สภาพคล่องส่งผลต่อการซื้อขายอย่างไร และทำไมทุกคนควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

    สาระสำคัญ

    • Liquidity คือ ความสามารถในการเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดได้รวดเร็วโดยไม่เสียมูลค่า

    • Liquidity หรือ สภาพคล่องสูง จะช่วยให้การซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างราบรื่นและราคามีเสถียรภาพ

    • Liquidity Risk คือ ความเสี่ยงที่ไม่สามารถขายสินทรัพย์ได้ทันเวลา หรือขายในราคาต่ำกว่าที่ควร

    • การบริหารจัดการสภาพคล่อง Liquidity  ช่วยรักษาความมั่นคงทางการเงิน และพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน

    ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง

    ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ

    เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

    Liquidity คืออะไร?

    Liquidity คือ สภาพคล่อง ในทางการเงิน หมายถึง ความสามารถในการเปลี่ยนสินทรัพย์ให้กลายเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่สูญเสียมูลค่า ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้ใช้แค่ในธุรกิจหรือการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดการการเงินส่วนบุคคลด้วย

    นอกจากนี้ Liquidity ยังแบ่งออกเป็น Market Liquidity ซึ่งหมายถึงความง่ายในการซื้อขายสินทรัพย์ในตลาดโดยไม่ทำให้ราคาผันผวนมาก และ Liquidity Management คือ การบริหารจัดการสภาพคล่องทั้งในระดับบุคคลหรือองค์กร เพื่อให้มีเงินสดเพียงพอรองรับความต้องการในแต่ละช่วงเวลาอย่างเหมาะสม

     

    Liquidity มีอะไรบ้าง?

    คุณอาจเคยได้ยินรูปแบบการเรียก Liquidity มาหลากหลายรูปแบบ แล้วแต่ละอันมีความหมายอย่างไร และมีความสำคัญในตลาดเทรดอย่างไร เรามาดูกันต่อเลย

     

    Liquidity Forex คืออะไร?

    Liquidity Forex คือ ความง่ายและความรวดเร็วในการซื้อขายคู่สกุลเงินต่างๆ โดยไม่ส่งผลให้ราคาผันผวนมาก หรือไม่เกิดการล่าช้าในการทำรายการ

    สภาพคล่องในตลาด Forex มีความสำคัญอย่างมากทั้งในด้านการ ซื้อขาย (Trading) และ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เพราะตลาดที่มีสภาพคล่องสูงช่วยให้ราคาขยับอย่างต่อเนื่องและน่าเชื่อถือ ทำให้การตัดสินใจซื้อขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ตัวอย่างคู่สกุลเงินที่มีระดับสภาพคล่องแตกต่างกัน เช่น

    • Major pairs เช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD (มีสภาพคล่องสูง เพราะเป็นคู่ที่มีการซื้อขายมากที่สุด)

    • Minor pairs เช่น EUR/GBP, AUD/NZD (มีสภาพคล่องปานกลาง)

    • Exotic pairs เช่น USD/TRY, USD/THB (มีสภาพคล่องต่ำกว่า ทำให้ราคามีความผันผวนมากกว่าและสเปรดสูงกว่า)

     

    Liquidity Risk คืออะไร?

    Liquidity Risk คือ ความเสี่ยงที่ไม่สามารถเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดได้ทันเวลา หรือต้องขายสินทรัพย์ในราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางการเงิน และอาจทำให้ผู้ลงทุนหรือองค์กรขาดความคล่องตัวในการบริหารจัดการเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

    ความเสี่ยงนี้ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ การดำเนินธุรกิจ และ การลงทุน ทำให้การวางแผนจัดการสภาพคล่องอย่างรัดกุมเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันความเสี่ยงและรักษาเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว

     

    Liquidity Ratio คือ อะไร?

    Liquidity Ratio คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินความสามารถของธุรกิจ หรือบุคคลในการชำระหนี้ระยะสั้น หรือการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดเพื่อใช้จ่ายในทันที  เรียกว่า อัตราส่วนสภาพคล่อง

    การใช้ Liquidity Ratio ช่วยให้นักลงทุนและผู้บริหารสามารถวิเคราะห์งบการเงิน เพื่อประเมินความมั่นคงทางการเงิน และความสามารถใน การจัดการเงินสดขององค์กรได้ อย่างแม่นยำ และเป็นระบบ

    Current-Ratio-vs-Quick-Ratio

    ตัวอย่างอัตราส่วนสภาพคล่องที่นิยมใช้ ได้แก่

    • Current Ratio คือ อัตราส่วนระหว่างสินทรัพย์หมุนเวียนกับหนี้สินหมุนเวียน

    • Quick Ratio คือ การวัดสภาพคล่องที่เข้มงวดกว่า ไม่นับสินค้าคงเหลือในสินทรัพย์หมุนเวียน

     

    Liquidity Coverage Ratio คืออะไร?

    Liquidity Coverage Ratio คือ อัตราส่วนที่ใช้วัดความสามารถของธุรกิจ หรือ ธนาคารในการใช้สินทรัพย์ ที่มีสภาพคล่องสูง เพื่อครอบคลุมภาระหนี้สินระยะสั้นในช่วง 30 วันข้างหน้า อัตราส่วนนี้จึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยประเมิน ความมั่นคงทางการเงิน และความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเงิน

    นอกจากนี้ ก็ยังสามารถใช้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อช่วยให้นักลงทุน และ ผู้บริหาร สามารถมองเห็นภาพรวมของ ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจการเงินและธนาคาร ที่ต้องรักษาระดับสภาพคล่องตามมาตรฐานสากล ป้องกันปัญหาการขาดสภาพคล่อง และสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ฝากเงิน และ นักลงทุนในระยะยาว

     

    Liquidity Management คืออะไร?

    Liquidity Management คือ การบริหารจัดการเงินสดและสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง เพื่อให้ธุรกิจหรือบุคคลมั่นใจว่าจะมีเงินสดเพียงพอสำหรับ การใช้จ่าย และ รับมือกับภาระหนี้ ในเวลาที่ต้องการ การบริหารนี้รวมถึงการวางแผน และควบคุมเครื่องมือต่าง ๆ ในการบริการการเงิน เช่น การติดตาม วิเคราะห์กระแสเงินสด และการจัดเตรียมเงินสำรองฉุกเฉิน เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด

     

    Liquidity Sweep คืออะไร?

    Liquidity Sweep คือ การที่ราคาถูกดันขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว เพื่อกวาดคำสั่งหยุดขาดทุน หรือคำสั่งซื้อขายที่สะสมอยู่ในโซนสภาพคล่องสำคัญ เช่น แนวรับ-แนวต้าน จากนั้นราคาจะกลับตัวไปในทิศทางตรงกันข้าม พฤติกรรมนี้เป็นกลยุทธ์ของผู้เล่นรายใหญ่หรือ Smart Money ที่ต้องการหลอกเทรดเดอร์รายย่อยให้เข้าเทรดผิดทาง เพื่อให้สามารถเข้าออกตลาดในราคาที่ดีกว่า

    Liquidity-Sweep

    วิธีสังเกต Liquidity Sweep คือ ราคาทำ Breakout ปลอม หรือ แท่งเทียนที่มีไส้ยาวสวนทางแนวโน้มเดิม การเข้าใจและจับจังหวะ Liquidity Sweep จะช่วยให้เทรดเดอร์หลีกเลี่ยงกับดักตลาด และเทรดตาม Smart Money ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

     

    Liquidity Pool คืออะไร?

    Liquidity Pool หรือ บ่อรวมสภาพคล่อง คือ แหล่งรวมเงินทุนที่ผู้ใช้งานนำมารวมกันไว้ใน ตลาด DeFi เพื่อให้เกิดสภาพคล่องสำหรับ การซื้อขายแบบอัตโนมัติ ผ่านระบบ AMM

    Liquidity-Pool

    ซึ่งผู้ที่นำเงินมารวม เรียกว่า Liquidity Provider จะได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมในพูลนั้น ยิ่งมีสภาพคล่องมาก ราคาจะนิ่ง และ การซื้อขายจะราบรื่น ไม่เกิดสเปรดสูง

     

    Liquidity Gap คืออะไร?

    Liquidity Gap คือ ช่องว่างของราคาที่เกิดขึ้น เมื่อในตลาดไม่มีสภาพคล่องเพียงพอ ทำให้ราคากระโดดข้ามช่วงราคาหนึ่งไปเลย ไม่มีการซื้อขายในระดับราคานั้น ๆ ปกติเกิดจากตลาดที่มีคำสั่งซื้อขายน้อย หรือช่วงเวลาที่มีข่าวใหญ่ และ ตลาดปิดเปิดใหม่ ซึ่งทำให้ราคาปรับตัวเร็ว ไม่ราบรื่น

    Liquidity-Gap

    นักเทรด Liquidity Gap เพิ่มความเสี่ยงเพราะราคาสามารถวิ่งข้าม Stop Loss ได้ง่าย และทำให้ขาดทุนมากขึ้น วิธีหลีกเลี่ยง คือ สังเกตช่วงเวลาที่ตลาดเงียบ หรือ เป็นการหลีกเลี่ยงการเทรด ช่วงก่อนข่าวสำคัญ และตั้ง Stop Loss อย่างระมัดระวัง เพื่อปกป้องเงินทุน

     

    Liquidity Zone คืออะไร?

    Liquidity Zone คือ บริเวณบนกราฟราคาที่มี คำสั่งซื้อ หรือขายสะสมอยู่จำนวนมาก มักเป็นจุดที่มีความสนใจสูงจากนักลงทุน เช่น แนวรับ - แนวต้าน หรือบริเวณที่ราคาวิ่งอยู่ในกรอบแคบ ๆ มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง Liquidity Zone มีความสำคัญตามนี้:

    liquidity-zones

    • เป็นโซนที่มี คำสั่ง Pending Order (เช่น Stop, Limit) รออยู่จำนวนมาก

    • เป็นบริเวณที่ราคาอาจเกิด การกลับตัว หรือ Breakout ได้แรง

    • รายใหญ่ (เช่น กองทุนหรือสถาบัน) มักเล็งโซนเหล่านี้เพื่อเข้าออก Position

    • เหมาะสำหรับใช้วางแผน เข้าเทรด / วาง Stop Loss / Take Profit

     

    ความแตกต่างระหว่าง Buy Side และ Sell Side Liquidity

    ประเภท Liquidity

    อยู่บริเวณไหน

    คำสั่งสะสม

    ความหมาย

    Buy Side Liquidity

    เหนือจุด High หรือ แนวต้าน

    คำสั่ง Stop Buy ของคนเปิด Short

    รายใหญ่ดันราคาขึ้นไปเก็บคำสั่ง แล้วอาจกลับทิศลง

    Sell Side Liquidity

    ใต้จุด Low หรือ แนวรับ

    คำสั่ง Stop Sell ของคนเปิด Long

    ราคาอาจถูกกดลงมากวาด Stop ก่อนดีดกลับขึ้น

     

    วิธีตรวจสอบ Liquidity หรือ สภาพคล่องทางการเงินส่วนบุคคล

    การตรวจสอบ สภาพคล่องทางการเงินส่วนบุคคล เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณทราบว่า คุณสามารถจัดการภาระทางการเงินในชีวิตประจำวัน และกรณีฉุกเฉินได้ดีอย่างไร ซึ่งจะมีวิธีการตรวจสอบหลัก ๆ ดังนี้:

     

    ขั้นตอนที่ 1: เช็กรายรับ–รายจ่าย

    เริ่มต้นจากการจดบันทึก รายรับ และ รายจ่าย ในแต่ละเดือน เพื่อดูว่าเงินที่เข้ามารายรับ เพียงพอกับเงินที่จ่ายออกไปหรือไม่ การเช็กส่วนนี้จะช่วยให้คุณรู้จักพฤติกรรมทางการเงินของตนเอง และควบคุมได้ดีขึ้น

    • หากรายรับ มากกว่า รายจ่าย แสดงว่าคุณมีเงินเหลือเก็บ หรือสามารถนำไปลงทุนได้

    • หากรายจ่าย มากกว่า รายรับ ต้องรีบปรับพฤติกรรมการใช้เงิน หรือลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

     

    ขั้นตอนที่ 2: ตรวจสอบงบดุลส่วนบุคคล

    การตรวจสอบงบดุลจะช่วยให้คุณรู้ว่า โดยรวมแล้วคุณ มั่งคั่ง หรือ มีภาระหนี้ มากน้อยแค่ไหน และควรบริหารจัดการด้านใดต่อไป งบดุลส่วนบุคคลเป็นรายงานแสดงสถานะทางการเงิน ณ เวลาหนึ่ง ๆ ประกอบด้วย:

    • สินทรัพย์ (Assets) เช่น เงินสด เงินฝาก บ้าน รถ หรือการลงทุนต่าง ๆ

    • หนี้สิน (Liabilities) เช่น หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อบ้าน สินเชื่อส่วนบุคคล

     

    สูตรคำนวณ สินทรัพย์สุทธิ (Net Worth):

    Net-Worth

    ขั้นตอนที่ 3: คำนวณ Liquidity Ratio (อัตราสภาพคล่อง)

    เป็นตัวชี้วัด ความสามารถในการใช้สินทรัพย์ ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉิน เช่น การเจ็บป่วย หรือ ตกงาน เกณฑ์ที่แนะนำ ควรมี Liquidity Ratio อย่างน้อย 3 - 6 เท่า

     

    สูตรคำนวณ Liquidity Ratio:

    Liquidity-Ratio

    ยกตัวอย่าง ถ้ามีรายจ่าย 20,000 บาทต่อเดือน ควรมีเงินสำรองไว้ 60,000 – 120,000 บาท

     

    ขั้นตอนที่ 4: คำนวณ Savings Ratio (อัตราการออม)

    การรู้ค่าอัตราการออมจะ ช่วยวางแผนเก็บเงิน เพื่อเป้าหมายในอนาคต เช่น การซื้อบ้าน การเกษียณ หรือ การท่องเที่ยว อัตราการออมบอกถึง ความสามารถในการเก็บออมจาก รายได้ของคุณ เกณฑ์ที่แนะนำ ควรมีอัตราการออม อย่างน้อย 10% - 20% ของรายได้

     

    สูตรคำนวณ Savings Ratio:

    Savings-Ratio

    ยกตัวอย่าง หากมีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน ควรออมอย่างน้อย 3,000 - 6,000 บาท

     

    วิธีจัดการสภาพคล่องส่วนบุคคล

    การมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี หมายถึง การมีเงินสด หรือ สินทรัพย์ ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เพียงพอ สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และ รับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การจัดการสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้ไม่ต้องพึ่งพาหนี้สิน และ มีความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว มีวิธีสำคัญในการจัดการสภาพคล่อง ดังนี้:

     

    เทคนิคจัดการเงินสด

    • ตั้งกองทุนสำรองฉุกเฉินไว้ประมาณ 3 - 6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน จะฝากไว้ในบัญชีที่สามารถถอนเงินได้ง่าย เช่น บัญชีออมทรัพย์ หรือกองทุนตลาดเงิน

    • แยกบัญชี หรือ แบ่งเงินเป็นสัดส่วน เช่น ค่าครองชีพ เงินออม ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เพื่อควบคุมการใช้เงินไม่ให้ปะปนกัน

    • เช็กเงินเข้า-ออกทุกเดือน เพื่อดูว่ามีเงินคงเหลือเท่าไร และ จะวางแผนอย่างไรให้เงินเพียงพอ

     

    ปรับพฤติกรรมใช้จ่าย

    • จัดทำงบประมาณรายเดือน และ พยายามใช้เงินตามงบที่กำหนด

    • ทบทวนค่าใช้จ่าย เช่น ค่าสมัครสมาชิก ค่ากาแฟ ค่าอาหารนอกบ้าน หรือของใช้ฟุ่มเฟือย เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มเงินออม

    • หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตเกินตัว หรือ การกู้เพื่อซื้อของที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

    • ทุกครั้งก่อนใช้จ่าย ควรถามตัวเองว่า จำเป็นจริงไหม? หรือ หากไม่ซื้อจะมีผลเสียต่อชีวิตมากแค่ไหน?

     

    สร้างเป้าหมายการเงินในระยะสั้น - กลาง

    • เป้าหมายระยะสั้น (1 ปี) เช่น มีเงินสำรองฉุกเฉินครบภายใน 6 เดือน, ปิดหนี้บัตรเครดิต, เก็บเงินซื้อของที่จำเป็น

    • เป้าหมายระยะกลาง (1–5 ปี) เช่น เก็บเงินดาวน์บ้าน, ซื้อรถยนต์, วางแผนท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือเตรียมทุนเรียนต่อ

    • ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และ วัดผลได้ เช่น เก็บเงินให้ได้ 100,000 บาท ภายใน 12 เดือน จากนั้นแบ่งเป้าหมายเป็นรายเดือน จะช่วยให้การวางแผน และ ติดตามผลมีประสิทธิภาพ

     

    ตรวจสอบสภาพคล่องในตลาด Forex ต้องรู้อะไรบ้าง?

    การวัดสภาพคล่องใน ตลาด Forex เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจความง่าย-ยากใน การซื้อขาย และประเมินความเสี่ยงได้ดีขึ้น มีวิธีหลัก ๆ ดังนี้:

    • Bid-Ask Spread คือ ความต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) กับราคาขาย (Ask) ในตลาด Forex ยิ่ง Spread แคบ แปลว่าตลาดนั้นมีสภาพคล่องสูง ซื้อขายได้ง่ายและต้นทุนน้อย แต่ถ้า Spread กว้าง แสดงว่าตลาดมีสภาพคล่องต่ำ ราคาผันผวนสูง และต้นทุนการเทรดมากขึ้น

    • Volume คือ ปริมาณการซื้อขายในช่วงเวลาหนึ่ง ยิ่งมี Volume สูง แปลว่ามีนักลงทุนจำนวนมากซื้อขายในคู่นั้น ทำให้ตลาดมีสภาพคล่องดี การดู Volume จะช่วยยืนยันความแรงของการเคลื่อนไหวของราคา

    • Market Depth คือ ข้อมูลแสดงจำนวนคำสั่งซื้อ และ ขาย ที่รออยู่ในระดับราคาต่าง ๆ ยิ่งมี Market Depth มาก แปลว่ามีสภาพคล่องสูง เพราะคำสั่งซื้อขายเยอะ การดู Market Depth ช่วยให้เห็นภาพรวมความแข็งแกร่งของ แนวรับ-แนวต้าน

    • Price Movement คือ พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของ ราคาในตลาด ที่มีสภาพคล่องสูง มักจะราบรื่น ราคาขยับต่อเนื่อง และ ไม่กระโดดมาก ส่วนตลาดที่สภาพคล่องต่ำ ราคาจะมีการกระโดดหรือ Gap บ่อยครั้ง ทำให้การเทรดมีความเสี่ยงสูง

     

    ตัวอย่างการใช้ Liquidity ในกลยุทธ์เทรด

    การเข้าใจ liquidity ไม่ได้จำกัดแค่เรื่อง สภาพคล่องทางการเงินส่วนบุคคล เท่านั้น แต่ยังสำคัญอย่างยิ่งในกลยุทธ์การเทรด ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ดังนี้:

     

    การเข้า Position ด้วยการดู Liquidity Zone และ Liquidity Sweep

    เทรดเดอร์มืออาชีพจะมองหา Liquidity Zone หรือ บริเวณที่มีคำสั่งซื้อขายสะสมสูง เพื่อเข้าเทรดในจังหวะที่ราคามีโอกาส รีบาวด์ หรือ เบรกเอาท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรอให้เกิด Liquidity Sweep คือ การที่ราคาเคลื่อนที่ไปล้างคำสั่งหยุด (Stop Loss) หรือ คำสั่งรอซื้อขายก่อนที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางที่คาดหวัง การใช้กลยุทธ์นี้ช่วย เพิ่มโอกาสในการเข้าเทรด ที่จุดคุ้มค่าทางเทคนิค

     

    การตั้ง Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) ตาม Liquidity Pool

    การกำหนดจุด SL และ TP โดยอิงกับตำแหน่งของ Liquidity Pool จะช่วยให้การบริหารความเสี่ยงมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะ Liquidity Pool มักเป็นจุดที่ราคามีแนวโน้มเด้งกลับหรือเกิดการสะสมคำสั่งซื้อขาย การตั้งจุดเหล่านี้ให้เหมาะสม ช่วยลดโอกาสโดนตัด SL อย่างไม่จำเป็น และ เพิ่มโอกาสทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา

     

    การเทรดในช่วงเวลาที่ Market Liquidity สูงสุด

    ช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง เช่น เวลาที่ตลาด Forex เปิดพร้อมกันหลายโซน หรือช่วงข่าวเศรษฐกิจสำคัญ ทำให้ราคาขยับอย่างมีประสิทธิภาพและลด Spread เทรดเดอร์ควรเลือกเวลาเทรดในช่วงที่ Market Liquidity สูงสุดนี้ เพื่อให้การส่งคำสั่งซื้อขายรวดเร็ว และ ลดความเสี่ยงจากการลื่นไถลของราคา

     

    สรุป

    การเข้าใจ liquidity คือ สิ่งสำคัญในการบริหารการเงินทั้ง ส่วนบุคคล และ ตลาดการเงิน การมีสภาพคล่องเพียงพอช่วยลดความเสี่ยง และ เพิ่มโอกาสทำกำไร โดยเฉพาะในตลาด Forex ที่ความรู้เรื่อง Liquidity Pool และ Market Liquidity ช่วยให้การเทรดแม่นยำขึ้น การใช้กลยุทธ์เทรดตามสภาพคล่อง เช่น การดู Liquidity Zone และตั้ง SL/TP ตาม Liquidity Pool จะช่วยให้บริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น ทำให้ความมั่นคงทางการเงิน และ การลงทุนยั่งยืนมากขึ้น

    พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?

    เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย

    รับสิทธิ์เข้าถึงฟรี

    สารบัญ

      คำถามที่พบบ่อย

      Liquidity Provider จะฝากสินทรัพย์ดิจิทัลลงในพูลเพื่อช่วยให้การซื้อขายเกิดขึ้นอย่างราบรื่น แลกกับค่าธรรมเนียมที่เกิดจากการเทรดในพูลนั้น ๆ

      เพราะราคาสินทรัพย์ในตลาด liquidity ต่ำจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรงเมื่อมีคำสั่งซื้อขายจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดโอกาสขายหรือซื้อในราคาที่เหมาะสม

      Liquidity คือความสามารถในการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดอย่างรวดเร็ว ส่วน Cash Flow คือกระแสเงินสดเข้าและออกจากธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง

      Liquidity ratio ทั่วไปอยู่ระหว่าง 1.5–3 เท่า แสดงว่าธุรกิจมีเงินสดและสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอต่อการชำระหนี้ระยะสั้น

      การใช้ leverage สูงในตลาดที่มี liquidity ต่ำ อาจทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและไม่สามารถออกจากตลาดได้ทันเวลา

      การใช้ leverage สูงในตลาดที่มี liquidity ต่ำ อาจทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและไม่สามารถออกจากตลาดได้ทันเวลา

      Itsariya Doungnet

      Itsariya Doungnet

      SEO Content Writer

      อิสสริยา ดวงเนตร เป็นนักเขียนคอนเท้นต์ SEO ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ เรื่องตลาดเทรด และ การลงทุน เน้นสไตล์การเขียนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเนื้อหาความรู้จัดเต็ม พร้อมกับการผสมผสานเทคนิค SEO ที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาบทความได้ง่าย อย่าลืมติดตามกันนะคะ

      เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง

      scroll top