ตลาด
แพลตฟอร์ม
บัญชี
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
การแข่งขัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือ
โลหะ
เขียนโดย Itsariya Doungnet
อัปเดตแล้ว 27 พฤศจิกายน 2025
สารบัญ
หากคุณสนใจเรื่องการลงทุน นอกจากหุ้นและ Forex แล้ว สินค้าโภคภัณฑ์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ แต่หลายคนอาจสงสัยว่า Commodity คืออะไร? โดยพื้นฐาน Commodity คือสินค้าจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำมัน ทองคำ หรือพืชผล การเข้าใจสิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณมองเห็นโอกาสทำกำไรและบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น ก่อนลงทุนควรรู้ว่าสินค้าแต่ละประเภทมีลักษณะอย่างไร และควรเริ่มต้นลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย
สาระสำคัญ
การเข้าใจ Commodity คืออะไร ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของสินค้าโภคภัณฑ์ เปิดโอกาสทำกำไรทั้งระยะสั้นและระยะยาว ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ราคาและแนวโน้ม
การลงทุนในสินค้าพื้นฐานมีความเสี่ยงสูง จึงควรบริหารเงินและวางแผนก่อนซื้อขาย
การเรียนรู้พื้นฐาน เช่น การอ่านกราฟราคา ข่าวเศรษฐกิจ และแนวโน้มอุปสงค์-อุปทาน ช่วยให้การตัดสินใจแม่นยำขึ้น
การเข้าใจตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทำให้คุณเตรียมตัวและวางกลยุทธ์ลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
Commodity คือ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้ทั่วโลก สินค้าเหล่านี้มักเป็นสิ่งที่จับต้องได้ และมีคุณสมบัติ fungible หมายถึง สินค้าหนึ่งชิ้นสามารถแทนที่สินค้าชิ้นอื่นได้ ไม่กระทบการใช้งาน
ตัวอย่างที่เราคุ้นเคย ก็เช่น น้ำมัน ทองคำ ข้าว กาแฟ เป็นต้น การเข้าใจพื้นฐานของ commodity จะช่วยให้เรามองเห็นว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีขึ้นมีลงตามอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ รอบโลก
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดู ความแตกต่างระหว่าง Commodity กับหุ้น/สินทรัพย์อื่นๆ:
หัวข้อ
Commodity
หุ้น / สินทรัพย์อื่น
ความหมาย
วัตถุดิบหรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่จับต้องได้
สิทธิถือครองในบริษัทหรือสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้
ความสามารถในการใช้แทนกัน
ใช้แทนกันได้ (fungible)
แต่ละหุ้นหรือสินทรัพย์แตกต่างกัน
การซื้อขาย
ตลาดโลก, ราคาผันผวนตามอุปสงค์-อุปทาน
ตลาดหุ้น, ราคาขึ้นลงตามผลประกอบการบริษัท
จุดประสงค์
กระจายความเสี่ยง, ป้องกันเงินเฟ้อ
ลงทุนเพื่อผลตอบแทนจากบริษัทหรือสินทรัพย์เฉพาะ
แม้การลงทุนใน commodity จะมีโอกาสสร้างผลกำไร แต่ก็ต้องระวังความผันผวนของราคาและปัจจัยภายนอก เช่น ภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ทางการเมือง การเข้าใจ ความหมาย สินค้าโภคภัณฑ์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจตลาดนี้
เมื่อพูดถึง ประเภท Commodity เราสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ๆ คือ Hard Commodities และ Soft Commodities แต่ละประเภทมีลักษณะและตัวอย่างที่ชัดเจน ทำให้เข้าใจง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น
Hard Commodities เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มาจาก ทรัพยากรธรรมชาติที่ขุดหรือสกัดได้ ส่วนใหญ่เป็นโลหะและพลังงาน ลักษณะเด่นคือ ใช้เก็บเป็นมูลค่าได้ง่ายและมีความต้องการคงที่ในอุตสาหกรรม
ตัวอย่างเช่น:
ทองคำ (Gold): ใช้ลงทุนและเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ
เงิน (Silver): ใช้ในอุตสาหกรรมและเก็งกำไร
น้ำมันดิบ (Crude Oil): วัตถุดิบหลักด้านพลังงานและการผลิต
Hard Commodities มักมีราคาผันผวนตามเหตุการณ์โลก เช่น ความตึงเครียดทางการเมือง หรือปัญหาด้านอุปทาน
Soft Commodities เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ มาจากการเกษตรหรือการเพาะปลูก ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอาหารและพืชผลทางการเกษตร ลักษณะเด่น คือ ความเสี่ยงขึ้นกับสภาพอากาศและฤดูกาล
ข้าว: วัตถุดิบหลักของอาหารทั่วโลก
กาแฟ: มีการซื้อขายเป็นตลาดโลกและราคาผันผวนตามอุปสงค์
น้ำตาล: ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
Soft Commodities มักได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม, ภัยแล้ง หรือโรคระบาดพืช
ราคาของ Commodity ขึ้นลงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีหลาย ปัจจัย Commodity ที่ส่งผลโดยตรงต่อ อุปสงค์ อุปทาน Commodity และการเก็งกำไรของนักลงทุน การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ตลาดได้ดีขึ้น
นี่คือปัจจัยพื้นฐานที่สุดที่กำหนด ราคา Commodity
ถ้าอุปสงค์สูงแต่ปริมาณสินค้าไม่เพียงพอ ราคาจะพุ่งขึ้น
ในทางกลับกัน หากมีอุปทานเกินความต้องการ ราคาจะลดลง
ตัวอย่าง: ราคาน้ำมันดิบมักพุ่งสูงเมื่อประเทศผู้ผลิตน้ำมันลดปริมาณการผลิต
สินค้าเกษตรและพลังงานได้รับผลกระทบโดยตรงจากธรรมชาติ
น้ำท่วมหรือภัยแล้งสามารถทำลายพืชผลและทำให้ราคาข้าวหรือกาแฟพุ่งขึ้น
พายุหรือเหตุการณ์ทางธรรมชาติในพื้นที่ผลิตน้ำมันอาจทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูง
รัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศสามารถกำหนดราคาผ่านนโยบายต่าง ๆ
การเพิ่มภาษีหรือกำหนดโควตาการส่งออก จะทำให้ปริมาณสินค้าในตลาดลดลง
นโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาดอาจลดความต้องการน้ำมันและถ่านหิน
เงินเฟ้อสูงทำให้นักลงทุนมองหา Commodity เช่น ทองคำ เป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ
ค่าเงินแข็งหรืออ่อนสามารถทำให้ราคาสินค้าส่งออกปรับตัวขึ้นหรือลง
ความไม่แน่นอนทางการเมือง เช่น สงครามหรือการปฏิวัติ สามารถทำให้ ราคา Commodity พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
การลงทุน Commodity มีหลายช่องทาง ขึ้นอยู่กับระดับความรู้และความเสี่ยงที่รับได้ การทำความเข้าใจแต่ละวิธีจะช่วยให้ตัดสินใจมั่นใจขึ้น
การ เทรด Commodity ผ่าน CFD เช่น ทอง น้ำมัน หรือสินค้าเกษตร เป็นตัวเลือกสะดวกสำหรับผู้เริ่มต้น ไม่ต้องถือสินค้าจริง สามารถเปิด-ปิดสถานะได้ง่าย จุดเด่นคือเริ่มลงทุนด้วยเงินไม่มาก แต่ต้องระวังความผันผวนของราคา ซึ่งอาจทำให้กำไรหรือขาดทุนเกิดขึ้นเร็ว
การลงทุนผ่าน กองทุน Commodity หรือ ETF โภคภัณฑ์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยง กองทุนรวบรวมสินค้าหลายประเภท ทำให้การลงทุนกระจายตัว นักลงทุนสามารถซื้อขายเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ข้อดีคือสะดวกและมีมืออาชีพดูแล แต่ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่าการเทรดตรง
สำหรับนักลงทุนมีประสบการณ์ การซื้อขายฟิวเจอร์สช่วยล็อกราคาสินค้าในอนาคตและเก็งกำไรจากความผันผวนของตลาดได้ แต่ต้องเข้าใจกลไกฟิวเจอร์สและมีเงินทุนเพียงพอ การลงทุนแบบฟิวเจอร์สมีความเสี่ยงสูง หากไม่มีการวางแผนหรือใช้มาร์จิ้นอย่างระมัดระวัง อาจเกิดขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว
การลงทุนใน สินค้าโภคภัณฑ์ มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
กระจายพอร์ต (Diversification): ช่วยลดความเสี่ยงรวมของพอร์ต เพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์มักเคลื่อนไหวไม่ตรงกับหุ้นหรือพันธบัตร
ป้องกันเงินเฟ้อ (Hedge): สินค้าพื้นฐานมักปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเงินเฟ้อเพิ่ม เช่น ราคาทองคำมักขึ้นเมื่อตลาดเงินผันผวน
ความต้องการโลกสูง: สินค้าโภคภัณฑ์พื้นฐาน เช่น น้ำมัน ข้าว หรือกาแฟ มีความต้องการต่อเนื่องในระดับโลก
ราคาผันผวนสูง: เหตุการณ์โลก เช่น สงคราม ภัยธรรมชาติ หรือวิกฤตเศรษฐกิจ สามารถทำให้ราคาน้ำมันหรือทองคำแกว่งแรง
ความเสี่ยงจากการเก็งกำไร: นักลงทุนที่เข้าตลาดโดยไม่มีความเข้าใจอาจขาดทุนจากการเคลื่อนไหวระยะสั้น
ค่าใช้จ่ายการเทรด: การซื้อขายฟิวเจอร์ส หรือ CFD อาจมีค่าธรรมเนียมและสเปรดที่ต้องพิจารณา
การลงทุนใน Commodity คืออะไร คือการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์หรือวัตถุดิบพื้นฐาน เช่น ทองคำ น้ำมัน ข้าว และกาแฟ ซึ่งแบ่งออกเป็น Hard Commodity เช่น โลหะ และ พลังงาน และ Soft Commodity เช่น เกษตรและพืชผล
นักลงทุนสามารถเลือกวิธีลงทุนได้หลายช่องทาง ทั้งการเทรด CFD, กองทุน ETF, หรือฟิวเจอร์ส ขึ้นอยู่กับความรู้และความเสี่ยงที่รับได้ ข้อดีของการลงทุน คือ ช่วยกระจายพอร์ต ป้องกันเงินเฟ้อ และสินค้าพื้นฐานมีความต้องการสูงทั่วโลก ขณะที่ความเสี่ยงคือราคาผันผวน การเก็งกำไร และค่าใช้จ่ายในการเทรด
พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?
เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย
Commodity คือ สินค้าโภคภัณฑ์หรือวัตถุดิบพื้นฐานที่ใช้ในการผลิตหรือบริโภค เช่น น้ำมัน ทองคำ ข้าว หรือกาแฟ สินค้านี้สามารถซื้อขายได้ในตลาดโลกและมักเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจ
Commodity เป็นสินค้าที่จับต้องได้และมีปริมาณจำกัด ส่วนหุ้นคือสิทธิการเป็นเจ้าของบริษัท ราคาของ Commodity ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน ส่วนหุ้นขึ้นกับผลประกอบการและความมั่นคงของบริษัท
Hard Commodity คือสินค้าทรัพยากรธรรมชาติ เช่น โลหะ (ทอง เงิน) หรือพลังงาน (น้ำมัน แก๊ส) การผลิตต้องขุดหรือสกัด ทำให้ราคาผันผวนตามต้นทุนและความต้องการ
Soft Commodity คือสินค้าเกษตรกรรมหรือพืชผล เช่น ข้าว กาแฟ น้ำตาล ราคามักขึ้นลงตามฤดูกาล เพาะปลูก และสภาพอากาศ
Commodity ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้า อาหาร หรือพลังงาน และลงทุนเพื่อทำกำไรหรือป้องกันความเสี่ยง สามารถซื้อขายผ่านตลาด Futures หรือกองทุน ETF โดยไม่ต้องถือของจริง
ราคาขึ้นลงตามอุปสงค์-อุปทาน, สภาพอากาศ, นโยบายเศรษฐกิจ, ค่าเงิน และความไม่แน่นอนทางการเมือง นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากการเก็งกำไรและการผลิตในประเทศผู้ส่งออกสำคัญ
Itsariya Doungnet
SEO Content Writer
อิสสริยา ดวงเนตร เป็นนักเขียนคอนเท้นต์ SEO ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ เรื่องตลาดเทรด และ การลงทุน เน้นสไตล์การเขียนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเนื้อหาความรู้จัดเต็ม พร้อมกับการผสมผสานเทคนิค SEO ที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาบทความได้ง่าย อย่าลืมติดตามกันนะคะ
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง