ตลาด
แพลตฟอร์ม
บัญชี
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
การแข่งขัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือ
หุ้น
เขียนโดย Itsariya Doungnet
อัปเดตแล้ว 5 พฤศจิกายน 2025
สารบัญ
Bond Yield คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ใช้ประเมินว่าการลงทุนในพันธบัตรให้ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่ โดยช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบพันธบัตรแต่ละประเภทได้ยังไง และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูล บทความนี้จะอธิบายความหมายของ Bond Yield, การคำนวณ Bond Yield และ ยกตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจง่าย พร้อมนำไปใช้จริงในการลงทุน
สาระสำคัญ
Bond Yield คือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร ทั้งดอกเบี้ยและส่วนต่างราคา
ช่วยให้นักลงทุนประเมินผลตอบแทนและความเสี่ยงได้อย่างชัดเจน
การวิเคราะห์ Bond Yield เพื่อการลงทุน ช่วยคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ความเข้าใจ Bond Yield เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์ลงทุนตราสารหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
Bond Yield คือ อัตราผลตอบแทน ที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในพันธบัตร ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ต่อปี ตัวชี้วัดนี้ ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพชัดเจนว่าพันธบัตรนั้น ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่
Bond Yield มีหลายประเภท เช่น Current Yield ที่คำนวณจากดอกเบี้ยเทียบกับ ราคาปัจจุบันของพันธบัตร และ Yield to Maturity (YTM) ซึ่งเป็นการวัดผลตอบแทนรวมทั้งหมดจนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอน ทั้งสองประเภทนี้ ช่วยให้นักลงทุนประเมินผลตอบแทน และ ความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ
เมื่อพูดถึง Bond Yield นักลงทุนควรทำความเข้าใจประเภทหลัก ๆ ที่ใช้วัดผลตอบแทนจากพันธบัตร ซึ่งแต่ละประเภทมีจุดเด่นและวิธีใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้
Nominal Yield คือ อัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้บนพันธบัตรหรือที่เรียกว่า “คูปอง” ซึ่งเป็นจำนวนดอกเบี้ยที่ผู้ออกพันธบัตรจ่ายให้ผู้ถือพันธบัตรในแต่ละปี โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าหน้าตั๋วของพันธบัตร
Current Yield คือ อัตราผลตอบแทนที่คำนวณจากดอกเบี้ยที่ได้รับเทียบกับราคาปัจจุบันของพันธบัตร ซึ่งราคาพันธบัตรในตลาดอาจเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้ Current Yield สะท้อนผลตอบแทนจริง ณ เวลานั้น
Yield to Maturity หรือ YTM คือ อัตราผลตอบแทนรวมทั้งหมดที่นักลงทุนจะได้รับหากถือพันธบัตรจนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอน โดยรวมทั้งดอกเบี้ยและกำไรหรือขาดทุนจากราคาซื้อขายพันธบัตร ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญและแม่นยำที่สุดในการประเมินผลตอบแทนของพันธบัตร
ทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Bond Yield และ Dividend Yield เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน อ่านต่อในตารางเพื่อดูความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองอย่างได้เลย
Bond Yield
Dividend Yield
Bond Yield จะได้รับผลตอบแทนที่ได้จากการถือพันธบัตร
Dividend Yield ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้ผู้ถือหุ้น
Bond Yield มาจากดอกเบี้ยที่จ่ายจากพันธบัตร
Dividend Yield มาจากเงินปันผลของหุ้น
Bond Yield คำนวณจากดอกเบี้ยประจำปีหารด้วยราคาพันธบัตร
Dividend Yield คำนวณจากเงินปันผลต่อหุ้นหารด้วยราคาหุ้น
Bond Yield มีความเสี่ยงต่ำกว่าเพราะพันธบัตรมักมั่นคง
Dividend Yield มีความเสี่ยงสูงกว่าเพราะขึ้นอยู่กับผลประกอบการบริษัท
Bond Yield มีผลตอบแทนคงที่และผันผวนน้อย
Dividend Yield มีผลตอบแทนผันผวนสูงเพราะเงินปันผลขึ้นกับกำไรบริษัท
Bond Yield เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและรายได้ประจำ
Dividend Yield เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากหุ้นและการเติบโตของบริษัท
การคำนวณ Bond Yield เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจผลตอบแทนจากพันธบัตรได้ชัดเจนขึ้น โดยมีสูตรหลัก ๆ ดังนี้
ตัวอย่าง:
พันธบัตรมีดอกเบี้ยปีละ 50 บาท ราคาปัจจุบันในตลาดคือ 950 บาท
Current Yield = (50 ÷ 950) × 100 ≈ 5.26%
Bond Yield และ ราคาพันธบัตร มีความสัมพันธ์ที่สวนทางกันอย่างชัดเจน คือ เมื่อราคาพันธบัตรเพิ่มขึ้น Bond Yield จะลดลง และเมื่อราคาพันธบัตรลดลง Bond Yield จะเพิ่มขึ้น
การคำนวณ Bond Yield จากดอกเบี้ยที่ได้รับเทียบกับราคาซื้อขายจริงของพันธบัตร หากราคาพันธบัตรสูงขึ้น นักลงทุนต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ยเท่าเดิม จึงทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง และในทางกลับกัน ราคาพันธบัตรลดลงก็จะทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
ราคาพันธบัตร (Bond)
ความสัมพันธ์
เพิ่มขึ้น
ลดลง
เมื่อราคาพันธบัตรสูงขึ้น อัตราผลตอบแทนจะลดลง
เมื่อราคาพันธบัตรลดลง อัตราผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้น
ตัวอย่าง
พันธบัตรจ่ายดอกเบี้ยปีละ 50 บาท ถ้าราคาพันธบัตรคือ 1,000 บาท Bond Yield จะเท่ากับ 5% แต่ถ้าราคาพันธบัตรเพิ่มเป็น 1,100 บาท Bond Yield จะลดลงเหลือประมาณ 4.55% เพราะนักลงทุนจ่ายเงินมากขึ้นแต่ได้รับดอกเบี้ยเท่าเดิม
Bond Yield ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขในตำราเท่านั้น แต่มีผลกระทบโดยตรงต่อตลาดการเงินและการลงทุนในชีวิตจริง ในส่วนนี้เราจะยกตัวอย่างสถานการณ์ล่าสุดของ Bond Yield ในตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เห็นภาพว่าตัวเลขเหล่านี้สะท้อนสภาพเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในตลาดอย่างไร
ในช่วงปีหลัง ๆ Bond Yield ของพันธบัตรรัฐบาลไทยมีความผันผวนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ตัวอย่างเช่น:
เมื่อ BOT มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ Bond Yield ของพันธบัตรระยะสั้นและระยะกลางมักลดลงตามไปด้วย เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมถูกลง นักลงทุนจึงรับผลตอบแทนน้อยลงแต่แลกกับความเสี่ยงที่ต่ำลง
ในทางกลับกัน เมื่อมีสัญญาณเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น หรือเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว Bond Yield จะปรับตัวสูงขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนเงินทุนที่สูงขึ้น
ล่าสุด Bond Yield ของพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุ 10 ปี อยู่ที่ประมาณ 3.0 - 3.5% ซึ่งสะท้อนทั้งนโยบายการเงินที่ยังคงผ่อนคลาย และความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อตลาดทุนไทย
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ U.S. Treasury Bonds เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง เนื่องจากถือเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำที่ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิง
ในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ Bond Yield ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน จากระดับต่ำกว่า 1% ในช่วงวิกฤตโควิด 19 เป็นระดับ 4% ขึ้นไปในช่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
Bond Yield ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นนี้สะท้อนความคาดหวังเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและความเสี่ยงเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้นในการถือครองพันธบัตร
ล่าสุด Bond Yield ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี อยู่ในช่วง 4.0 - 4.5% ซึ่งเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังประเมินความเข้มงวดของนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจในอนาคต
Bond Yield เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญมากสำหรับนักลงทุนพันธบัตร เพราะช่วยประเมินผลตอบแทนและความเสี่ยงของการลงทุนได้อย่างแม่นยำ โดยมีความสำคัญในหลายด้าน ดังนี้
Bond Yield แสดงถึงอัตราผลตอบแทนสุทธิที่นักลงทุนจะได้รับจากการถือครองพันธบัตร รวมทั้งดอกเบี้ยและส่วนต่างของราคาพันธบัตรในตลาด การทราบ Bond Yield ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมของรายได้ที่คาดว่าจะได้รับจริง ไม่ใช่แค่ดอกเบี้ยตามหน้าตั๋วเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการตัดสินใจลงทุน
Bond Yield ทำให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนของพันธบัตรแต่ละประเภท เช่น พันธบัตรรัฐบาลกับพันธบัตรบริษัท หรือตัวเลือกการลงทุนอื่น เช่น หุ้นหรือเงินฝากออมทรัพย์ โดยคำนึงถึงระดับความเสี่ยงและระยะเวลาการลงทุน นักลงทุนจึงสามารถเลือกสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินได้ดีที่สุด
Bond Yield มักสะท้อนภาพรวมความเชื่อมั่นและความเสี่ยงในตลาด เช่น เมื่อเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงสูงขึ้น นักลงทุนจะเรียกร้องผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงนี้ ส่งผลให้ Bond Yield สูงขึ้น การติดตาม Bond Yield จึงช่วยให้นักลงทุนรับรู้ถึงสภาพตลาดและประเมินความเสี่ยงได้ทันสถานการณ์
การเข้าใจ Bond Yield ช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนรับผลตอบแทนตามเป้าหมายทางการเงิน เช่น การวางแผนเกษียณหรือจัดการกระแสเงินสดอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังช่วยในการบริหารพอร์ตลงทุนโดยการปรับสัดส่วนสินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
Bond Yield โดยเฉพาะ Yield Curve เป็นเครื่องมือที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ใช้คาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจในอนาคต เช่น Yield Curve ที่ชันขึ้นแสดงถึงการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตและอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น ขณะที่ Yield Curve ผันกลับ (Inverted) มักเป็นสัญญาณเตือนภาวะเศรษฐกิจถดถอย การใช้ข้อมูลนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ทันเวลา
Bond Yield คือ ตัวชี้วัดที่ไม่ได้คงที่ตลอดเวลา เพราะได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อราคาพันธบัตรและอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ
ความต้องการพันธบัตรในตลาดส่งผลโดยตรงต่อราคาและ Bond Yield เมื่อมีนักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรจำนวนมาก ราคาจะเพิ่มขึ้น ทำให้ Bond Yield ลดลงเพราะผลตอบแทนเทียบกับราคาซื้อจะน้อยลง ในทางกลับกัน หากนักลงทุนขายพันธบัตรมาก ราคาจะลดลงและ Bond Yield จะสูงขึ้น เพื่อจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาซื้อ
สภาวะเศรษฐกิจ เช่น การเติบโตชะลอตัวหรือภาวะถดถอย ทำให้นักลงทุนมองหาความปลอดภัย จึงนิยมซื้อพันธบัตร ส่งผลให้ Bond Yield ลดลง ขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวและความเสี่ยงเพิ่มขึ้น Bond Yield ก็จะสูงขึ้น นอกจากนี้ เหตุการณ์ทางการเมือง เช่น ความไม่แน่นอน หรือความขัดแย้ง สามารถทำให้ตลาดมีความผันผวน และกระทบต่อ Bond Yield ได้เช่นกัน
ธนาคารกลางใช้การปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเศรษฐกิจ เมื่อขึ้นดอกเบี้ย Bond Yield จะปรับสูงขึ้น เพราะนักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ การใช้จ่ายของรัฐบาลและการกู้ยืมเพิ่มขึ้นผ่านนโยบายการคลัง จะเพิ่มอุปสงค์เงินทุนในตลาด ส่งผลให้ Bond Yield มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกัน
Bond Yield คือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนประเมินผลตอบแทนและความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ ความเข้าใจใน Bond Yield จะช่วยให้ตัดสินใจลงทุนในตราสารหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และวางแผนการเงินได้ดีขึ้น ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Bond Yield ให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุนในตราสารหนี้ทุกครั้ง เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมและลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิผล
พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?
เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย
เพราะ Yield คำนวณจากดอกเบี้ยเทียบกับราคาพันธบัตร เมื่อราคาพันธบัตรสูงขึ้น ผลตอบแทนที่แท้จริงต่อเงินลงทุนจึงต่ำลง
ราคาพันธบัตรและ Bond Yield มีความสัมพันธ์ผกผันกัน เมื่อราคาพันธบัตรเพิ่มขึ้น Yield จะลดลง และในทางกลับกัน
เมื่อความเสี่ยงในตลาดสูงขึ้น นักลงทุนจะเรียกร้องผลตอบแทนสูงขึ้น ทำให้ Bond Yield เพิ่มขึ้นเป็นการชดเชยความเสี่ยง
การรู้ Bond Yield ช่วยให้นักลงทุนประมาณรายได้จากพันธบัตร วางแผนกระแสเงินสด และจัดสรรพอร์ตลงทุนได้เหมาะสมกับเป้าหมาย
นักลงทุนใช้ Bond Yield เปรียบเทียบกับผลตอบแทนหุ้น เงินฝาก หรือสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อเลือกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเหมาะสมกับความเสี่ยง
Current Yield คำนวณจากดอกเบี้ยเทียบกับราคาปัจจุบันเท่านั้น ส่วน YTM คำนวณรวมทั้งดอกเบี้ยและกำไร/ขาดทุนจากราคาซื้อขายจนถึงวันครบกำหนด
Itsariya Doungnet
SEO Content Writer
อิสสริยา ดวงเนตร เป็นนักเขียนคอนเท้นต์ SEO ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ เรื่องตลาดเทรด และ การลงทุน เน้นสไตล์การเขียนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเนื้อหาความรู้จัดเต็ม พร้อมกับการผสมผสานเทคนิค SEO ที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาบทความได้ง่าย อย่าลืมติดตามกันนะคะ
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง