ตลาด
แพลตฟอร์ม
บัญชี
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือ
Trading
เขียนโดย Itsariya Doungnet
อัปเดตแล้ว 10 ตุลาคม 2025
สารบัญ
นักเทรดหลายคน มักโฟกัสที่ กำไร หรือ ขาดทุน จากแต่ละดีล แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือ การวัดผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเป็นระบบ เพื่อดูว่าการเทรดที่ทำไปนั้นคุ้มค่า และ สร้างผลกำไรได้ จริง หรือไม่
เรียนรู้ความหมาย ROI คือ อะไร วิธีการวัดผลตอบแทนที่ชัดเจน พร้อมสูตรคำนวณ และ เทคนิควิเคราะห์ ROI ที่จะทำให้คุณเข้าใจผลลัพธ์ การเทรดได้ดีขึ้น และ ช่วยวางแผนการลงทุน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สาระสำคัญ
นักเทรดหลายคนมักโฟกัสที่ กำไร หรือ ขาดทุนของแต่ละดีล แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ การวัดผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเป็นระบบ เพื่อประเมินความคุ้มค่า และ ผลกำไรที่แท้จริงของการเทรด
ROI คือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ ที่ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมว่า การลงทุนแต่ละครั้ง สร้างกำไร หรือ ขาดทุนเท่าไร
การคำนวณ Return on Investment ต้องพิจารณาทั้งต้นทุนการลงทุน และ ค่าใช้จ่ายแฝง เช่น ค่าธรรมเนียม เพื่อให้ผลลัพธ์แม่นยำ และ สะท้อนความคุ้มค่าที่แท้จริงของการลงทุน
ROI คือ เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ นักเทรดวางแผนกลยุทธ์ และ บริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มผลตอบแทน และ ทำให้การลงทุนยั่งยืนในระยะยาว
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
ROI คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินว่า การลงทุนแต่ละครั้ง หรือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนเป็นกำไร หรือขาดทุนเท่าไหร่ ในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมของความคุ้มค่าของเงินที่ลงไปอย่างชัดเจน
การคำนวณ ROI คือ การนำผลกำไรสุทธิ หลังจากหักต้นทุนทั้งหมด มาเปรียบเทียบกับจำนวนเงิน ที่ลงทุนไป ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถวัด และ เปรียบเทียบผลตอบแทนของการลงทุนต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และ ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นการเทรดใน หุ้น ฟอเร็กซ์ คริปโต หรือ ธุรกิจอื่นๆ
การลงทุนที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กำไรที่เราได้รับ แต่ต้องพิจารณาว่ากำไรนั้นคุ้มค่ากับเงิน และ ความเสี่ยงที่เราต้องแบกรับหรือไม่ ROI จึงเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ช่วยให้เราสามารถประเมินความคุ้มค่าของ แต่ละการลงทุนได้อย่างชัดเจน ROI ช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบ การลงทุนหลายรูปแบบได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
ROI ยังช่วยวางแผน กลยุทธ์การลงทุน และ บริหารความเสี่ยง ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว ช่วยให้การลงทุนมีความมั่นคง และ สร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน ทำให้ตัดสินใจเลือกลงทุนในช่องทางที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด และ เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของตนเองได้ง่ายขึ้น
การคำนวณ ROI ให้แม่นยำ และ มีประโยชน์จริง ต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่
ต้นทุนการลงทุน ไม่ใช่แค่ราคาซื้อ แต่รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ หรือค่าใช้จ่ายแฝง
ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าคอมมิชชั่น ค่าธรรมเนียมการเทรด หรือค่าธรรมเนียมการถอนเงิน ที่อาจลดผลตอบแทนจริง
ความเสี่ยงของการลงทุน เพราะบางการลงทุนแม้ ROI สูง แต่ความเสี่ยงมาก อาจไม่เหมาะกับทุกคน
ระยะเวลาการลงทุน การลงทุนระยะสั้น และ ระยะยาว อาจให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการประเมิน ROI
ปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น ภาวะตลาด เศรษฐกิจ หรือข่าวสารที่มีผลต่อมูลค่าการลงทุน
ROI ช่วยวัดผลตอบแทนจากการลงทุนว่าได้ กำไร หรือ ขาดทุนเท่าไร ด้วยสูตรง่าย ๆ ที่ใช้เปรียบเทียบการลงทุนได้อย่างรวดเร็ว
สูตรคำนวณ ROI ที่ใช้กันทั่วไปคือ:
กำไรสุทธิ คือ ผลตอบแทนทั้งหมดที่ได้จากการลงทุน ลบด้วยต้นทุนทั้งหมด
ต้นทุนการลงทุน คือ จำนวนเงินที่ลงทุนไปทั้งหมด
หาผลต่างระหว่างราคาขายและราคาซื้อ (กำไรหรือต้นทุนขาดทุน)
หารด้วยต้นทุนที่ใช้ลงทุน
คูณด้วย 100 เพื่อแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์
ตัวอย่างนี้ช่วยให้เห็น วิธีคำนวณ ROI ใน การเทรดหุ้น และ คริปโต เพื่อประเมินผลตอบแทนได้ง่ายขึ้น
สมมติซื้อหุ้นราคา 10,000 บาท แล้วขายได้ 12,000 บาท
กำไรสุทธิ = 12,000 – 10,000 = 2,000 บาท
ต้นทุน = 10,000 บาท
ROI = (2,000/10,000) × 100 = 20%
หมายความว่า การลงทุนนี้ได้ผลตอบแทน 20% จากเงินที่ลงไป
สมมติซื้อคริปโต 5,000 บาท แล้วขายได้ 4,500 บาท (ขาดทุน)
กำไรสุทธิ = 4,500 – 5,000 = -500 บาท
ต้นทุน = 5,000 บาท
ROI = (-500/5,000) × 100 = -10%
หมายความว่า การลงทุนครั้งนี้ขาดทุน 10% ของเงินลงทุน
การมี ROI ที่ดี หมายถึง ผลตอบแทนที่สามารถครอบคลุมต้นทุน และ ความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม โดยทั่วไป ROI ที่ดีควรอยู่ที่ประมาณ 10% ขึ้นไป ต่อปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และความเสี่ยงที่รับได้ อย่างไรก็ตาม ROI สูงเกินไปอาจมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงตามมา
นักเทรดจึงควรพิจารณาความสมดุลระหว่าง ผลตอบแทน และ ความเสี่ยง รวมถึงเปรียบเทียบ ROI กับมาตรฐานของตลาดและเป้าหมายส่วนตัว สุดท้าย ROI ที่ดีสำหรับแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาลงทุน ความรู้ และ ความสามารถในการจัดการความเสี่ยง
หลังจากคำนวณ ROI แล้ว การวิเคราะห์ และ ตีความค่า ROI อย่างถูกต้องจะช่วยให้ตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น ดังนี้
ค่า ROI เป็นบวก แปลว่าการลงทุนนั้นมีกำไรและคุ้มค่ากับต้นทุนที่จ่ายไป
ค่า ROI เป็นลบ หมายถึงขาดทุน การลงทุนครั้งนั้นไม่คุ้มค่า และควรพิจารณาปรับกลยุทธ์หรือเลิกลงทุน
เปรียบเทียบ ROI กับทางเลือกอื่น ๆ เพื่อดูว่าการลงทุนไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุดในระดับความเสี่ยงที่รับได้
วิเคราะห์ ROI ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเสี่ยง ระยะเวลาลงทุน และเป้าหมายทางการเงิน เพื่อประเมินความเหมาะสมโดยรวม
อย่ามองแค่ค่า ROI สูง ๆ อย่างเดียว เพราะบางครั้ง ROI สูงอาจมากับความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย
แม้ว่า ROI จะเป็นตัวชี้วัดที่นิยมใช้ในการประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างที่นักลงทุนควรรับรู้ ได้แก่
แม้ ROI จะบอกว่าการลงทุนให้ผลตอบแทนเท่าไร แต่ไม่ได้บอกว่าต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงขนาดไหน ตัวอย่างเช่น การลงทุนในคริปโตที่ให้ ROI สูง อาจมีความผันผวนและความเสี่ยงสูงมาก ในขณะที่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ROI ต่ำกว่าแต่มีความเสี่ยงต่ำกว่า การมองแค่ ROI อาจทำให้นักลงทุนประเมินสถานการณ์ผิดพลาด
ผลตอบแทน 20% ใน 1 เดือน กับ 20% ใน 1 ปี แตกต่างกันมากในแง่ของความคุ้มค่า ROI ทั่วไปไม่ได้แยกระยะเวลาชัดเจน ทำให้การเปรียบเทียบอาจคลาดเคลื่อน การใช้ตัวชี้วัดอื่นอย่าง Annualized ROI หรือ CAGR จะช่วยให้เห็นภาพผลตอบแทนที่แท้จริงมากขึ้น
ค่าธรรมเนียมการเทรด ค่าบริหารจัดการ ภาษี หรือค่าใช้จ่ายแอบแฝงต่าง ๆ อาจไม่ได้ถูกรวมอยู่ในการคำนวณ ROI เสมอไป หากไม่รวมค่าใช้จ่ายเหล่านี้เข้าไป ROI ที่คำนวณอาจสูงเกินจริง และทำให้นักลงทุนประเมินผลตอบแทนเกินความเป็นจริง
แม้ ROI จะบอกว่ากำไรเท่าไร แต่ไม่ได้บอกว่าสามารถถอนเงินลงทุนได้ทันทีหรือไม่ ตัวอย่างเช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อาจมี ROI สูงแต่สภาพคล่องต่ำ ทำให้นักลงทุนไม่สามารถขายสินทรัพย์ได้ทันทีเมื่อจำเป็น
ตลาดเทรดที่มีความผันผวนสูง ผลตอบแทนในอดีตอาจไม่สะท้อนผลตอบแทนในอนาคต ROI ไม่สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจ ข่าวสาร หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้
เทคนิคเหล่านี้ ไม่ใช่แค่การลดรายจ่าย แต่ยังช่วยวางกลยุทธ์ที่ ช่วยให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมรับมือความไม่แน่นอน ที่อาจกระทบผลประกอบการ
ค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าธรรมเนียมการเทรด อาจดูเล็กน้อย แต่ถ้าเทรดบ่อย ๆ ก็สามารถกินผลตอบแทนไปได้มากโดยไม่รู้ตัว หากต้องการเพิ่ม ROI ควรเลือกใช้โบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ มีระบบการซื้อขายที่โปร่งใส และเหมาะกับสไตล์การเทรดของคุณ เช่น บางโบรกเกอร์อาจเหมาะกับสาย Day Trade ส่วนบางเจ้าก็เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว
การเปิดปิดออร์เดอร์บ่อยครั้ง นอกจากจะเพิ่มค่าธรรมเนียมแล้ว ยังเพิ่มความเครียดและความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เทรดเดอร์จำนวนไม่น้อยขาดทุนเพราะ เทรดมากเกินไป โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน การรอให้มีสัญญาณที่ชัดเจนและมีเงื่อนไขเข้าเทรดที่เป็นระบบ จะช่วยให้คุณควบคุมจังหวะการเข้าออกได้ดีขึ้น และช่วยลดต้นทุนในระยะยาว
การไม่ตั้ง Stop Loss คือ การเปิดโอกาสให้การขาดทุนลุกลาม ในขณะที่การไม่กำหนดเป้ากำไร (Take Profit) อาจทำให้พลาดจังหวะปิดกำไร เมื่อราคาเคลื่อนไหวกลับ การมีแผนตั้งแต่ต้น ช่วยให้เทรดอย่างมีวินัย ไม่ใช้อารมณ์ และลดโอกาสการขาดทุนหนักได้จริง รวมถึงช่วยรักษาผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่คงที่มากขึ้น
หลายคนพลาดเพราะ เทหมดหน้าตัก กับออร์เดอร์ที่มั่นใจ แต่ตลาดไม่เคยแน่นอน 100% เทคนิคการบริหารเงินลงทุนในแต่ละออร์เดอร์ เช่น การจำกัดไว้ไม่เกิน 1-2% ของพอร์ต จะช่วยให้คุณรับความเสี่ยงได้อย่างสมดุล หากเทรดผิดทางก็ยังไม่กระทบพอร์ตโดยรวม และ มีโอกาสแก้ตัวในครั้งถัดไป
ตลาดเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กลยุทธ์เดิมที่เคยใช้ได้ผล อาจไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน หากอยากให้ ROI เติบโตต่อเนื่อง นักเทรดควรหมั่นปรับแผน ทบทวนสิ่งที่ทำ และ พัฒนาทักษะอยู่เสมอ
ก่อนนำกลยุทธ์ใด ๆ มาใช้จริง ควรทำการ Backtest กับข้อมูลในอดีต เพื่อดูว่าวิธีการเทรดนั้นให้ผลลัพธ์อย่างไรในช่วงเวลาต่าง ๆ และมี ROI โดยเฉลี่ยมากน้อยแค่ไหน การ Backtest จะช่วยให้นักเทรดเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และเข้าใจว่ากลยุทธ์นั้น เหมาะกับภาวะตลาดแบบใด หากกลยุทธ์เคยให้ ROI สูงในช่วงตลาดเป็นขาขึ้น แต่ให้ผลแย่ในช่วงตลาด Sideway ก็อาจต้องเสริมด้วยระบบกรองเทรนด์ก่อนใช้งานจริง
การเทรดไม่ใช่เรื่องของ สูตรสำเร็จ ที่ใช้ได้ตลอดไป ตลาดเปลี่ยน กลยุทธ์ก็ต้องเปลี่ยนตาม อย่ากลัวที่จะปรับแผนใหม่หากสิ่งที่ใช้อยู่ไม่ให้ผลลัพธ์ดีเหมือนเดิม การจดบันทึกการเทรด (Trading Journal) จะช่วยให้นักเทรดเห็นพฤติกรรมของตนเอง และสามารถวิเคราะห์ได้ว่ากลยุทธ์ใดควรรักษา หรือควรปรับปรุง
Risk/Reward Ratio คืออัตราส่วนระหว่างกำไรที่คาดหวัง กับขาดทุนที่ยอมรับได้ในแต่ละออร์เดอร์ โดยทั่วไปควรอยู่ที่อย่างน้อย 1:2 ซึ่งหมายถึง หากยอมขาดทุน 1,000 บาท ก็ควรตั้งเป้ากำไรที่ 2,000 บาทขึ้นไป การมี Risk/Reward Ratio ที่ดีช่วยให้แม้คุณจะชนะเพียง 50% ของออร์เดอร์ ก็ยังสามารถรักษา ROI ให้เป็นบวกได้ในระยะยาว
ROI และ ROE เป็นตัวชี้วัดผลตอบแทนที่ใช้ในการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน แม้จะมีจุดประสงค์ใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างทั้งในวิธีคำนวณและขอบเขตการใช้งาน ตารางด้านล่างนี้สรุปความแตกต่างระหว่าง ROI กับ ROE อย่างชัดเจน
หัวข้อ
ROI (Return on Investment)
ROE (Return on Equity)
ความหมาย
ROI คือ ตัวชี้วัดผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งหมดในธุรกิจ โครงการ หรือสินทรัพย์อื่นๆ
ROE คือ ตัวชี้วัดผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นได้รับจากเงินทุนที่ลงทุนในบริษัท
การคำนวณ
กำไรสุทธิ/ต้นทุนการลงทุนทั้งหมด
กำไรสุทธิ/ส่วนของผู้ถือหุ้น (ทุนของเจ้าของ)
ขอบเขตการวัด
วัดผลตอบแทนจากการลงทุนทุกประเภท ไม่จำกัดเฉพาะทุนของเจ้าของ
วัดผลตอบแทนเฉพาะเงินทุนของผู้ถือหุ้นในบริษัท
เหมาะสำหรับใคร
นักลงทุนทั่วไป ผู้บริหารที่ต้องการประเมินผลการลงทุนทั้งหมด
ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่สนใจผลตอบแทนจากทุนของตน
จุดประสงค์
ประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนโดยรวม
ประเมินประสิทธิภาพการใช้ทุนของผู้ถือหุ้น
ROI คือ เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักเทรด และ นักลงทุนประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างชัดเจน การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และ การปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์ตลาด ช่วยเพิ่มผลตอบแทน พร้อมลดความเสี่ยงในการขาดทุน นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และ วินัยในการเทรด ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การลงทุน มีความคุ้มค่า และ ยั่งยืนในระยะยาว
พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?
เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย
ROI ที่ดีขึ้นอยู่กับประเภทสินทรัพย์และกลยุทธ์เทรด เทรดเดอร์มักตั้งเป้าหมาย ROI ประมาณ 5-10% ต่อการเทรด หรือ 10-20% ต่อปี แต่สิ่งสำคัญคือ ROI ควรสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ และไม่ควรตั้งเป้าสูงเกินไปจนเกินจริง
ได้แน่นอน ROI สามารถใช้วัดผลตอบแทนของการเทรดในระยะสั้น เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือแต่ละเทรด เพื่อช่วยประเมินประสิทธิภาพและปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว
สำคัญมาก เพราะ ROI ช่วยให้เทรดเดอร์มือใหม่เห็นภาพรวมผลตอบแทนของการลงทุน และประเมินว่าเทรดของตนเองคุ้มค่าหรือไม่ ช่วยให้ตั้งเป้าหมายและพัฒนากลยุทธ์ได้ดีขึ้น
หลักการคำนวณเหมือนกัน แต่คริปโตมีความผันผวนสูงกว่าหุ้นมาก ทำให้ ROI อาจเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและมีความเสี่ยงสูงกว่าเทรดหุ้น จึงต้องระมัดระวังในการตีความผลลัพธ์
ROI แสดงผลตอบแทนจากเงินลงทุน แต่ไม่ได้บอกระดับความเสี่ยงหรือความผันผวนของตลาด ดังนั้นควรใช้ควบคู่กับเครื่องมือวัดความเสี่ยงอื่น ๆ เช่น Drawdown หรือ Sharp Ratio เพื่อประเมินภาพรวม
ROI ใน Forex คำนวณเหมือนกับการเทรดทั่วไป คือ (กำไร – ต้นทุน)/ต้นทุน × 100% แต่ต้องรวมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่า Spread และ Swap เพื่อให้ผลลัพธ์แม่นยำ
Itsariya Doungnet
SEO Content Writer
อิสสริยา ดวงเนตร เป็นนักเขียนคอนเท้นต์ SEO ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ เรื่องตลาดเทรด และ การลงทุน เน้นสไตล์การเขียนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเนื้อหาความรู้จัดเต็ม พร้อมกับการผสมผสานเทคนิค SEO ที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาบทความได้ง่าย อย่าลืมติดตามกันนะคะ
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง