ตลาด
แพลตฟอร์ม
บัญชี
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือ
เพิ่มพูนความรู้ของคุณด้วยคอร์สการเทรดออนไลน์ฟรีจาก
จนถึงตอนนี้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับหุ้น ฟอเร็กซ์ และสินค้าโภคภัณฑ์กันไปแล้ว บทเรียนนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ CFD (Contracts for Difference) ซึ่งเป็นตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่งที่มีลักษณะแตกต่างจากสินทรัพย์ทั่วไป การเทรด CFD ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถือครองสินทรัพย์จริงแต่เป็นการเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ทำกำไรได้ทั้งในช่วงที่ราคาขึ้นและลง
ในบทเรียนนี้เราจะมาดูว่า CFD คืออะไร ทำงานอย่างไร มีข้อดีและความเสี่ยงอะไรบ้างรวมถึงขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นเทรด CFD
CFD หรือ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Contract for Difference) คือ ข้อตกลงทางการเงิน ระหว่างเทรดเดอร์และโบรกเกอร์ ที่ตกลงกันว่าจะแลกเปลี่ยน "ส่วนต่างของราคา" ของสินทรัพย์ ตั้งแต่ตอนเปิดสัญญาไปจนถึงตอนปิดสัญญา
พูดง่าย ๆ ก็คือ: การเทรด CFD คือการเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคา โดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์จริง ด้วย CFD คุณสามารถ เข้าถึงตลาดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ฟอเร็กซ์ หรือ ดัชนีต่าง ๆ แทนที่จะซื้อหุ้นจริงหรือทองคำจริง คุณเพียงแค่ “ทำสัญญา” ที่สะท้อนราคาของสินทรัพย์นั้น
ถ้าราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ → คุณจะได้กำไรจากส่วนต่างของราคา
แต่ถ้าราคาเคลื่อนไหวสวนทางต่างจากคุณได้คาดการณ์ไว้ → คุณจะขาดทุนตามส่วนต่างนั้นเช่นกัน
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังดูการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีม A กับทีม B แทนที่จะลงไปเตะเอง คุณเลือกวางเดิมพันว่าทีม A จะชนะ
ถ้าทีม A ชนะ → คุณได้รับเงินรางวัล
ถ้าทีม A แพ้ → คุณต้องจ่ายเงินตามเงื่อนไขของการเดิมพัน
ในลักษณะเดียวกัน การเทรด CFD ไม่ได้หมายถึงการซื้อหุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์จริงแต่เป็นการเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาถ้าคุณคาดการณ์ทิศทางได้ถูกต้องคุณก็จะได้กำไรแต่ถ้าคาดการณ์ผิดก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกัน
มาดูกันว่า CFD แตกต่างจากการเทรดแบบดั้งเดิมอย่างไร:
การเทรด CFD มีการใช้ มาร์จิ้น (Margin) และเลเวอเรจ (Leverage) ซึ่งช่วยขยายทั้งโอกาสในการทำกำไร และ ความเสี่ยงในการขาดทุน
ด้านล่างนี้คือสิ่งสำคัญที่คุณควรรู้:
มาร์จิ้นในการเทรด CFD คือ เงินประกันเริ่มต้น ที่คุณต้องวางไว้เพื่อเปิดสถานะการเทรด ซึ่งมักจะเป็นเพียง ส่วนหนึ่งของมูลค่าการเทรดทั้งหมดเท่านั้นไม่ใช่เต็มจำนวน โดยทั่วไปมาร์จิ้นมีอยู่ 3 ประเภทหลักดังนี้:
มาร์จิ้นเริ่มต้น (Initial Margin): คือจำนวนเงินขั้นต่ำที่คุณต้องมีในบัญชีเพื่อเปิดสถานะเทรด
มาร์จิ้นคงเหลือ (Maintenance Margin): หากการเทรดของคุณเริ่มขาดทุนและมูลค่าเงินค้ำประกันลดลงคุณอาจจำเป็นต้อง เติมเงินเพิ่ม เพื่อรักษาสถานะนั้นไว้
มาร์จิ้นคอล (Margin Call): หากยอดเงินในบัญชีของคุณต่ำกว่าระดับมาร์จิ้นที่กำหนดโบรกเกอร์จะส่งคำเตือนให้คุณเติมเงินเพิ่ม หรืออาจดำเนินการปิดสถานะเพื่อจำกัดความเสี่ยง
เลเวอเรจคือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณ ควบคุมสถานะการเทรดที่มีขนาดใหญ่กว่าทุน ที่คุณมีอยู่จริง โดยจะแสดงในรูปแบบของ (อัตราส่วน เช่น 1:10 หมายความว่าคุณสามารถควบคุมมูลค่าสินทรัพย์ได้มากถึง 10 เท่าของเงินฝาก)
ตัวอย่าง: หากคุณใช้ เลเวอเรจ 1:10 ด้วย เงินฝาก $1,000 คุณจะสามารถเปิดสถานะการเทรดที่มี มูลค่าสูงถึง $10,000 ได้
คำเตือนด้านความเสี่ยง: แม้ว่าเลเวอเรจจะช่วย เพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็ เพิ่มระดับความเสี่ยง เช่นกัน หากราคาขยับสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้คุณอาจขาดทุนมากกว่าทุนที่ฝากไว้
การเทรด CFD เปิดโอกาสให้คุณทำกำไรได้ทั้งในช่วงที่ราคา ขยับขึ้นและขยับลง ลองมาดูกันว่าแต่ละฝั่งทำงานอย่างไร:
ถือสถานะซื้อ (Going Long): ถ้าคุณคาดว่าราคาของสินทรัพย์จะปรับตัวขึ้น คุณสามารถเปิด “สถานะซื้อ” หรือ Long Position ได้ หากราคาขึ้นจริงคุณจะได้กำไรจากส่วนต่างของราคาแต่ถ้าราคากลับลดลงก็จะเกิดการขาดทุนแทน
ถือสถานะขาย (Going Short): ถ้าคุณเชื่อว่าราคาจะปรับตัวลดลง คุณสามารถเปิด “สถานะขาย” หรือ Short Position ได้ หากราคาลดลงตามที่คาดคุณจะได้กำไรแต่ถ้าราคากลับปรับตัวขึ้นแทนที่จะได้กำไรคุณจะเป็นฝ่ายขาดทุน
ลองมาดูตัวอย่างกัน:
สมมุติว่าคุณเป็นเทรดเดอร์ที่สนใจในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีและคุณเชื่อว่าราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยี โดยมีบริษัทนามสมมุติชื่อว่า "Company X" มีแนวโน้มที่ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังจะมาถึงแต่แทนที่คุณจะซื้อหุ้นจริงของบริษัทนี้ คุณเลือกใช้การเทรดแบบ CFD แทน เราจะค่อย ๆ ดูไปทีละขั้นตอนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง:
การเปิดสถานะ:
สมมุติว่าหุ้นของบริษัท Company X กำลังซื้อขายอยู่ที่ราคา $100 ต่อหุ้น
คุณมองว่า ราคาน่าจะปรับตัวขึ้น จึงตัดสินใจเลือกเปิด “สถานะซื้อ (Long Position)” ด้วยการซื้อ CFD จำนวน 100 หุ้นของบริษัทนี้
มูลค่ารวมของสถานะที่คุณเปิดในครั้งนี้คือ $10,000 (100 หุ้น × $100 ต่อหุ้น) แต่เนื่องจากคุณใช้เลเวอเรจในอัตรา 1:10 คุณจึงต้องวางเงินมาร์จิ้นเพียง $1,000 เท่านั้น
การเคลื่อนไหวของราคา
กรณีที่ A: ราคาปรับตัวขึ้น
ราคาหุ้นของบริษัท Company X ปรับขึ้นเป็น $120 ต่อหุ้น
สถานะ CFD ของคุณจึงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น $12,000 (100 หุ้น × $120)
คุณตัดสินใจ ปิดสถานะ และทำกำไรจากส่วนต่างที่เกิดขึ้น
กำไรของคุณในครั้งนี้คือ $2,000 ($12,000 - $10,000) ซึ่งมากกว่ามูลค่า มาร์จิ้นที่คุณใช้ในการเปิดสถานะ
กรณีที่ B: ราคาปรับตัวลดลง
ราคาหุ้นของบริษัท Company X ปรับลดลงเหลือ $80 ต่อหุ้น
สถานะ CFD ของคุณจึงเหลือมูลค่าเพียง $8,000 (100 หุ้น × $80)
คุณจึงตัดสินใจปิดสถานะเพื่อลดการขาดทุน
ขาดทุนในครั้งนี้คือ $2,000 ($10,000 - $8,000) ซึ่งมากกว่ามูลค่ามาร์จิ้นที่คุณใช้ในการเปิดสถานะ
จะเห็นได้ว่าการเทรด CFD ช่วยให้คุณสามารถ เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาได้ โดยไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์จริง ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสทำกำไรที่สูงหรือขาดทุนที่สูงเช่นกันขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาด
จากตัวอย่างก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่าหากราคาปรับตัวลดลงคุณอาจขาดทุนมากกว่ามูลค่ามาร์จิ้นที่วางไว้ตั้งแต่แรกเพราะเลเวอเรจสามารถขยายผลลัพธ์ได้ทั้งด้านบวกและลบ
ดังนั้นมาดูกันว่าข้อดีและความเสี่ยงของการเทรด CFD มีอะไรที่ควรพิจารณาบ้าง:
มีความยืดหยุ่น: สามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและตลาดขาลง
เลเวอเรจ: ควบคุมสถานะขนาดใหญ่ได้โดยใช้เงินทุนเพียงส่วนหนึ่งของมูลค่าจริง
เข้าถึงตลาดทั่วโลก: เทรดสินทรัพย์จากหลากหลายตลาดทั่วโลกได้ผ่านแพลตฟอร์มเดียว
ความเสี่ยง
ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ: หากราคาขยับไปในทิศทางตรงข้ามกับที่คุณคาดไว้ คุณอาจขาดทุนมากกว่าทุนที่วางไว้ในตอนแรก
ความผันผวนของตลาด: ตลาด CFD มีลักษณะเปลี่ยนแปลงเร็วและคาดเดาได้ยาก
ค่าธรรมเนียมข้ามคืน: หากถือสถานะข้ามวันอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเกิดขึ้นได้
ต่อไปนี้คือเคล็ดลับพื้นฐานสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นเทรด CFD:
ศึกษาและเลือกโบรกเกอร์ CFD ที่เหมาะสม: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแล (Regulated) และมีแหล่งความรู้ให้ศึกษา ในบทเรียนถัดไปเราจะพูดถึงความสำคัญของโบรกเกอร์โดยละเอียด
เปิดบัญชีและฝากเงิน: ดำเนินขั้นตอนสมัครให้เรียบร้อยและฝากเงินเข้าบัญชีเทรด โดยอย่าลืมว่า ควรลงทุนด้วยจำนวนที่คุณสามารถยอมรับความเสี่ยงได้
เริ่มจากบัญชีเดโม: ฝึกฝนกลยุทธ์การเทรดในบัญชีทดลองก่อนโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง
เริ่มเทรดจริงอย่างระมัดระวัง: เริ่มต้นด้วยออร์เดอร์ขนาดเล็กเพื่อเรียนรู้จังหวะตลาดและใช้เครื่องมืออย่างคำสั่ง Stop Loss เพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) คือเครื่องมือที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาได้ โดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์จริง
ต่างจากการเทรดแบบดั้งเดิม CFD เปิดโอกาสให้ทำกำไรได้ทั้งในช่วงราคาขึ้นและราคาลง
เลเวอเรจช่วยให้คุณควบคุมสถานะขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินฝากเพียงเล็กน้อยแต่ก็เพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกัน
การเทรด CFD มีต้นทุน เช่น ค่าสเปรด ค่าธรรมเนียมข้ามคืน และความเสี่ยงจากมาร์จิ้นคอล
หากคุณต้องการเริ่มต้นเทรดจริง ควรเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้ ทดลองเทรดผ่านบัญชีทดลอง และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
เมื่อคุณเข้าใจวิธีการทำงานของ CFD แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมและน่าเชื่อถือ
พจนานุกรมคำศัพท์ของเราช่วยอธิบายคำศัพท์การเทรดที่ซับซ้อนให้ง่ายต่อความเข้าใจ เรียนรู้คำสำคัญที่นักเทรดทุกคนควรรู้
อ่านบล็อกล่าสุดของเราเพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการเทรด มุมมองตลาด และกลยุทธ์การเทรดจริง บล็อกของ XS จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล แรงบันดาลใจ และพร้อมสำหรับการเทรด