Facebook Pixel
Logo

คอร์สการเทรดออนไลน์ของ XS

เพิ่มพูนความรู้ของคุณด้วยคอร์สการเทรดออนไลน์ฟรีจาก

โซลูชั่นก็อปปี้เทรด

การเทรด CFD คืออะไร

จนถึงตอนนี้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับหุ้น ฟอเร็กซ์ และสินค้าโภคภัณฑ์กันไปแล้ว บทเรียนนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ CFD (Contracts for Difference) ซึ่งเป็นตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่งที่มีลักษณะแตกต่างจากสินทรัพย์ทั่วไป การเทรด CFD ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถือครองสินทรัพย์จริงแต่เป็นการเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ทำกำไรได้ทั้งในช่วงที่ราคาขึ้นและลง

ในบทเรียนนี้เราจะมาดูว่า CFD คืออะไร ทำงานอย่างไร มีข้อดีและความเสี่ยงอะไรบ้างรวมถึงขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นเทรด CFD

CFD หรือ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Contract for Difference) คือ ข้อตกลงทางการเงิน ระหว่างเทรดเดอร์และโบรกเกอร์ ที่ตกลงกันว่าจะแลกเปลี่ยน "ส่วนต่างของราคา" ของสินทรัพย์ ตั้งแต่ตอนเปิดสัญญาไปจนถึงตอนปิดสัญญา

พูดง่าย ๆ ก็คือ: การเทรด CFD คือการเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคา โดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์จริง ด้วย CFD คุณสามารถ เข้าถึงตลาดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ฟอเร็กซ์ หรือ ดัชนีต่าง ๆ แทนที่จะซื้อหุ้นจริงหรือทองคำจริง คุณเพียงแค่ “ทำสัญญา” ที่สะท้อนราคาของสินทรัพย์นั้น

  • ถ้าราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ → คุณจะได้กำไรจากส่วนต่างของราคา

  • แต่ถ้าราคาเคลื่อนไหวสวนทางต่างจากคุณได้คาดการณ์ไว้ → คุณจะขาดทุนตามส่วนต่างนั้นเช่นกัน

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังดูการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีม A กับทีม B แทนที่จะลงไปเตะเอง คุณเลือกวางเดิมพันว่าทีม A จะชนะ

  • ถ้าทีม A ชนะ → คุณได้รับเงินรางวัล

  • ถ้าทีม A แพ้ → คุณต้องจ่ายเงินตามเงื่อนไขของการเดิมพัน

ในลักษณะเดียวกัน การเทรด CFD ไม่ได้หมายถึงการซื้อหุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์จริงแต่เป็นการเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาถ้าคุณคาดการณ์ทิศทางได้ถูกต้องคุณก็จะได้กำไรแต่ถ้าคาดการณ์ผิดก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกัน

 

การเทรด CFD vs. การเทรดแบบดั้งเดิม

มาดูกันว่า CFD แตกต่างจากการเทรดแบบดั้งเดิมอย่างไร:

  • การถือครองสินทรัพย์: ในการเทรดแบบดั้งเดิมคุณจะถือครองสินทรัพย์จริง ( เช่น หุ้น) แต่การเทรด CFD คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นจริง ๆ คุณแค่เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเท่านั้น
  • เลเวอเรจ: CFD เปิดโอกาสให้คุณควบคุม ขนาดการเทรดที่ใหญ่ขึ้นโดยใช้เงินทุนจำนวนน้อย ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรแต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนด้วยเช่นกัน
  • ความยืดหยุ่น: การเทรด CFD เปิดโอกาสให้คุณทำกำไรได้ทั้งสองทาง ไม่ว่าจะเป็น ตลาดขาขึ้นหรือขาลง ขณะที่การเทรดแบบดั้งเดิมจะได้ผลตอบแทนเฉพาะเมื่อราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นเท่านั้น
  • ต้นทุนการเทรด: การเทรด CFD มักมีค่าใช้จ่ายในรูปแบบของค่าสเปรด ค่าธรรมเนียมข้ามคืน และบางครั้งอาจมีค่าคอมมิชชันเพิ่มเติม ในทางกลับกันการเทรดหุ้นแบบดั้งเดิมมักมีเพียงค่าคอมมิชชันมาตรฐานเท่านั้น

 

การเทรด CFD: มาร์จิ้นและเลเวอเรจ

การเทรด CFD มีการใช้ มาร์จิ้น (Margin) และเลเวอเรจ (Leverage) ซึ่งช่วยขยายทั้งโอกาสในการทำกำไร และ ความเสี่ยงในการขาดทุน

ด้านล่างนี้คือสิ่งสำคัญที่คุณควรรู้:

 

มาร์จิ้น (Margin)

มาร์จิ้นในการเทรด CFD คือ เงินประกันเริ่มต้น ที่คุณต้องวางไว้เพื่อเปิดสถานะการเทรด ซึ่งมักจะเป็นเพียง ส่วนหนึ่งของมูลค่าการเทรดทั้งหมดเท่านั้นไม่ใช่เต็มจำนวน โดยทั่วไปมาร์จิ้นมีอยู่ 3 ประเภทหลักดังนี้:

  • มาร์จิ้นเริ่มต้น (Initial Margin): คือจำนวนเงินขั้นต่ำที่คุณต้องมีในบัญชีเพื่อเปิดสถานะเทรด

  • มาร์จิ้นคงเหลือ (Maintenance Margin): หากการเทรดของคุณเริ่มขาดทุนและมูลค่าเงินค้ำประกันลดลงคุณอาจจำเป็นต้อง เติมเงินเพิ่ม เพื่อรักษาสถานะนั้นไว้

  • มาร์จิ้นคอล (Margin Call): หากยอดเงินในบัญชีของคุณต่ำกว่าระดับมาร์จิ้นที่กำหนดโบรกเกอร์จะส่งคำเตือนให้คุณเติมเงินเพิ่ม หรืออาจดำเนินการปิดสถานะเพื่อจำกัดความเสี่ยง

มาร์จิ้น

 

เลเวอเรจ (Leverage)

เลเวอเรจคือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณ ควบคุมสถานะการเทรดที่มีขนาดใหญ่กว่าทุน ที่คุณมีอยู่จริง โดยจะแสดงในรูปแบบของ (อัตราส่วน เช่น 1:10 หมายความว่าคุณสามารถควบคุมมูลค่าสินทรัพย์ได้มากถึง 10 เท่าของเงินฝาก)

ตัวอย่าง: หากคุณใช้ เลเวอเรจ 1:10 ด้วย เงินฝาก $1,000 คุณจะสามารถเปิดสถานะการเทรดที่มี มูลค่าสูงถึง $10,000 ได้

คำเตือนด้านความเสี่ยง: แม้ว่าเลเวอเรจจะช่วย เพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็ เพิ่มระดับความเสี่ยง เช่นกัน
หากราคาขยับสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้คุณอาจขาดทุนมากกว่าทุนที่ฝากไว้

เลเวอเรจ

 

การทำงานของ CFD: การซื้อและขายสัญญา

การเทรด CFD เปิดโอกาสให้คุณทำกำไรได้ทั้งในช่วงที่ราคา ขยับขึ้นและขยับลง ลองมาดูกันว่าแต่ละฝั่งทำงานอย่างไร:

  • ถือสถานะซื้อ (Going Long): ถ้าคุณคาดว่าราคาของสินทรัพย์จะปรับตัวขึ้น คุณสามารถเปิด “สถานะซื้อ” หรือ Long Position ได้ หากราคาขึ้นจริงคุณจะได้กำไรจากส่วนต่างของราคาแต่ถ้าราคากลับลดลงก็จะเกิดการขาดทุนแทน

  • ถือสถานะขาย (Going Short): ถ้าคุณเชื่อว่าราคาจะปรับตัวลดลง คุณสามารถเปิด “สถานะขาย” หรือ Short Position ได้ หากราคาลดลงตามที่คาดคุณจะได้กำไรแต่ถ้าราคากลับปรับตัวขึ้นแทนที่จะได้กำไรคุณจะเป็นฝ่ายขาดทุน

การซื้อและขายสัญญา

ลองมาดูตัวอย่างกัน:

สมมุติว่าคุณเป็นเทรดเดอร์ที่สนใจในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีและคุณเชื่อว่าราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยี โดยมีบริษัทนามสมมุติชื่อว่า "Company X" มีแนวโน้มที่ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังจะมาถึงแต่แทนที่คุณจะซื้อหุ้นจริงของบริษัทนี้ คุณเลือกใช้การเทรดแบบ CFD แทน เราจะค่อย ๆ ดูไปทีละขั้นตอนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง:

  • การเปิดสถานะ:

    • สมมุติว่าหุ้นของบริษัท Company X กำลังซื้อขายอยู่ที่ราคา $100 ต่อหุ้น

    • คุณมองว่า ราคาน่าจะปรับตัวขึ้น จึงตัดสินใจเลือกเปิด “สถานะซื้อ (Long Position)” ด้วยการซื้อ CFD จำนวน 100 หุ้นของบริษัทนี้

    • มูลค่ารวมของสถานะที่คุณเปิดในครั้งนี้คือ $10,000 (100 หุ้น × $100 ต่อหุ้น) แต่เนื่องจากคุณใช้เลเวอเรจในอัตรา 1:10 คุณจึงต้องวางเงินมาร์จิ้นเพียง $1,000 เท่านั้น

  • การเคลื่อนไหวของราคา

    • กรณีที่ A: ราคาปรับตัวขึ้น

      • ราคาหุ้นของบริษัท Company X ปรับขึ้นเป็น $120 ต่อหุ้น

      • สถานะ CFD ของคุณจึงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น $12,000 (100 หุ้น × $120)

      • คุณตัดสินใจ ปิดสถานะ และทำกำไรจากส่วนต่างที่เกิดขึ้น

      • กำไรของคุณในครั้งนี้คือ $2,000 ($12,000 - $10,000) ซึ่งมากกว่ามูลค่า      มาร์จิ้นที่คุณใช้ในการเปิดสถานะ

    • กรณีที่ B: ราคาปรับตัวลดลง

      • ราคาหุ้นของบริษัท Company X ปรับลดลงเหลือ $80 ต่อหุ้น

      • สถานะ CFD ของคุณจึงเหลือมูลค่าเพียง $8,000 (100 หุ้น × $80)

      • คุณจึงตัดสินใจปิดสถานะเพื่อลดการขาดทุน

      • ขาดทุนในครั้งนี้คือ $2,000 ($10,000 - $8,000) ซึ่งมากกว่ามูลค่ามาร์จิ้นที่คุณใช้ในการเปิดสถานะ

จะเห็นได้ว่าการเทรด CFD ช่วยให้คุณสามารถ เก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาได้ โดยไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์จริง ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสทำกำไรที่สูงหรือขาดทุนที่สูงเช่นกันขึ้นอยู่กับทิศทางของตลาด

 

ข้อดีและความเสี่ยงของการเทรด CFD

จากตัวอย่างก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่าหากราคาปรับตัวลดลงคุณอาจขาดทุนมากกว่ามูลค่ามาร์จิ้นที่วางไว้ตั้งแต่แรกเพราะเลเวอเรจสามารถขยายผลลัพธ์ได้ทั้งด้านบวกและลบ

ดังนั้นมาดูกันว่าข้อดีและความเสี่ยงของการเทรด CFD มีอะไรที่ควรพิจารณาบ้าง:

 

ข้อดี

  • มีความยืดหยุ่น: สามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและตลาดขาลง

  • เลเวอเรจ: ควบคุมสถานะขนาดใหญ่ได้โดยใช้เงินทุนเพียงส่วนหนึ่งของมูลค่าจริง

  • เข้าถึงตลาดทั่วโลก: เทรดสินทรัพย์จากหลากหลายตลาดทั่วโลกได้ผ่านแพลตฟอร์มเดียว

 

ความเสี่ยง

  • ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ: หากราคาขยับไปในทิศทางตรงข้ามกับที่คุณคาดไว้ คุณอาจขาดทุนมากกว่าทุนที่วางไว้ในตอนแรก

  • ความผันผวนของตลาด: ตลาด CFD มีลักษณะเปลี่ยนแปลงเร็วและคาดเดาได้ยาก

  • ค่าธรรมเนียมข้ามคืน: หากถือสถานะข้ามวันอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเกิดขึ้นได้

 

เริ่มต้นเทรด CFD ได้อย่างมั่นใจ

ต่อไปนี้คือเคล็ดลับพื้นฐานสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นเทรด CFD:

  • ศึกษาและเลือกโบรกเกอร์ CFD ที่เหมาะสม: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแล (Regulated) และมีแหล่งความรู้ให้ศึกษา ในบทเรียนถัดไปเราจะพูดถึงความสำคัญของโบรกเกอร์โดยละเอียด

  • เปิดบัญชีและฝากเงิน: ดำเนินขั้นตอนสมัครให้เรียบร้อยและฝากเงินเข้าบัญชีเทรด โดยอย่าลืมว่า ควรลงทุนด้วยจำนวนที่คุณสามารถยอมรับความเสี่ยงได้

  • เริ่มจากบัญชีเดโม: ฝึกฝนกลยุทธ์การเทรดในบัญชีทดลองก่อนโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง

  • เริ่มเทรดจริงอย่างระมัดระวัง: เริ่มต้นด้วยออร์เดอร์ขนาดเล็กเพื่อเรียนรู้จังหวะตลาดและใช้เครื่องมืออย่างคำสั่ง Stop Loss เพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

 

สรุปบทเรียน

  • CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) คือเครื่องมือที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาได้ โดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์จริง

  • ต่างจากการเทรดแบบดั้งเดิม CFD เปิดโอกาสให้ทำกำไรได้ทั้งในช่วงราคาขึ้นและราคาลง

  • เลเวอเรจช่วยให้คุณควบคุมสถานะขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินฝากเพียงเล็กน้อยแต่ก็เพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกัน

  • การเทรด CFD มีต้นทุน เช่น ค่าสเปรด ค่าธรรมเนียมข้ามคืน และความเสี่ยงจากมาร์จิ้นคอล

  • หากคุณต้องการเริ่มต้นเทรดจริง ควรเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้ ทดลองเทรดผ่านบัญชีทดลอง และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

เมื่อคุณเข้าใจวิธีการทำงานของ CFD แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมและน่าเชื่อถือ

ถัดไป: บทบาทของโบรกเกอร์ในการเทรดทางการเงิน
บทเรียนถัดไป

การเรียนรู้ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้

อ่านบล็อกล่าสุดของเราเพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการเทรด มุมมองตลาด และกลยุทธ์การเทรดจริง บล็อกของ XS จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล แรงบันดาลใจ และพร้อมสำหรับการเทรด