ตลาด
บัญชี
แพลตฟอร์ม
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือ
เขียนโดย Itsariya Doungnet
อัปเดตแล้ว 30 กรกฎาคม 2025
ทำความเข้าใจ ROE คืออะไร เพื่อให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีประกอบด้วยหลายปัจจัย ที่เราสามารถคำนวณอัตราส่วนทางการเงินได้กับ ROE (Return on Equity) ในบทความนี้เราก็ได้สรุปกันทุกอย่างที่คุณต้องรู้ว่าให้แล้ว ครบจบที่นี่ที่เดียว เราไปอ่านรายละเอียดกันต่อเลย
ROE คือ อัตราส่วนที่แสดงความสามารถของบริษัทในการสร้างกำไรจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น
ROE สูง หมายถึง บริษัทสามารถใช้ทุนผู้ถือหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องระวังกรณีที่เกิดจากหนี้สินมาก
การวิเคราะห์ ROE ควรดูควบคู่กับโครงสร้างทุนและปัจจัยอื่น ๆ ช่วยประเมินความเสี่ยงและความมั่นคงทางการเงิน
ROE เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อช่วยตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูล
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
ROE คือ อัตราส่วนที่ใช้วัดความสามารถของบริษัทในการสร้างกำไรจากเงินทุน ที่ผู้ถือหุ้นลงทุนเข้ามา บริษัทจะเริ่มต้นด้วย การระดมทุนจากผู้ถือหุ้น (Equity) เพื่อนำไปสร้างทรัพย์สิน (Asset) ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ สร้างรายได้ (Revenue) หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รายได้ที่เหลือคือ อัตรากำไรสุทธิ
หากบริษัทไม่จ่ายเงินปันผล กำไรส่วนนี้จะถูกสะสม และเพิ่มเข้าไปในส่วนของผู้ถือหุ้น ทำให้ทุนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าบริษัทขาดทุน ส่วนของผู้ถือหุ้น ก็จะลดลงตามไปด้วย
หากบริษัทสามารถสร้างกำไรได้ดีและต่อเนื่อง ทุนผู้ถือหุ้นจะเติบโตขึ้นและทำให้ ROE อยู่ในระดับสูง แต่ถ้ากำไรไม่เติบโตมากพอ หรือมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ROE ก็อาจลดลงได้เช่นกัน
การคำนวณ ROE ใช้สูตรง่าย ๆ คือ
สูตร ROE = กำไรสุทธิ/ส่วนของผู้ถือหุ้น
กำไรสุทธิ คือ รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย และภาษีทั้งหมด
ส่วนของผู้ถือหุ้น คือ ทุนที่ผู้ถือหุ้นลงทุนในบริษัทรวมกับกำไรสะสม
สมมติว่า บริษัทหนึ่งมีกำไรสุทธิในปีนี้ 5 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวมอยู่ที่ 25 ล้านบาท เมื่อนำตัวเลขทั้งสองมาแทนในสูตรจะได้
ROE = 5,000,000/25,000,000 = 0.20 หรือ 20%
หมายความว่า บริษัทนี้สามารถสร้าง กำไรสุทธิได้ 20 บาท จากเงินทุนของผู้ถือหุ้นทุก 100 บาท ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนที่ดี
แม้ว่า ROE จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท แต่การมี ROE สูงไม่ได้หมายความเสมอไปว่า บริษัทนั้นมีความแข็งแกร่งหรือผลประกอบการที่ดีเสมอไป เพราะอาจมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ ROE สูง อาจจะไม่ใช่สัญญาณบวกเสมอไป เช่นเดียวกับ ROE ต่ำ ก็อาจจะไม่ใช่สัญญาณลบเสมอไป
บริษัทที่มีหนี้สินจำนวนมาก อาจทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง ส่งผลให้ค่า ROE สูงขึ้นอย่างผิดปกติ แม้บริษัทจะไม่ได้สร้างกำไรที่แท้จริงจากการดำเนินงานมากขึ้นก็ตาม ซึ่งในระยะยาว หนี้สินสูงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงทางการเงิน และปัญหาสภาพคล่องได้
ยิ่งถ้าบริษัทไม่สามารถ บริหารจัดการภาระดอกเบี้ย และคืนเงินกู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงิน เช่น การผิดนัดชำระหนี้ หรือการล้มละลาย ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณาควบคู่กับค่า ROE เพื่อดูความสมดุลระหว่าง ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ และความเสี่ยง
บางครั้ง ROE อาจสูงขึ้นจากกำไรพิเศษ เช่น การขายสินทรัพย์ การปรับปรุงบัญชี หรือรายได้พิเศษอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานปกติ ซึ่งทำให้ผลตอบแทนดูดีขึ้นชั่วคราว แต่ไม่สะท้อนถึงประสิทธิภาพจริงของธุรกิจ
หากนักลงทุนวิเคราะห์โดยไม่แยกแยะแหล่งที่มาของกำไร อาจทำให้ประเมินบริษัทสูงเกินจริง และเสี่ยงต่อการตัดสินใจลงทุนผิดพลาด ควรตรวจสอบงบการเงินอย่างละเอียด และดูว่ากำไรสุทธิมาจากการดำเนินงานหลัก หรือกำไรพิเศษ เพื่อให้ได้ภาพที่แท้จริงของความสามารถในการสร้างกำไรของบริษัท
DuPont Analysis เป็นเครื่องมือที่ช่วยแยกองค์ประกอบของ ROE ออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่
ROE = อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) × อัตราการหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Turnover) × อัตราส่วนทางการเงิน (Leverage)
แต่ละส่วนมีความหมายและบทบาทในการใช้คำนวณ ROE ดังนี้
อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) คือ สัดส่วนกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับยอดขาย เป็นตัวชี้วัดว่าบริษัทสามารถแปลงรายได้ให้กลายเป็นกำไรได้มากน้อยแค่ไหน หากอัตรากำไรสูง แสดงว่าบริษัทมีการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายได้ดี ส่งผลให้กำไรต่อรายได้เพิ่มขึ้น
อัตราการหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Turnover) คือ ความสามารถของบริษัทในการใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่สร้างยอดขาย เป็นตัววัดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพย์สิน หากอัตราการหมุนเวียนสินทรัพย์สูง แสดงว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ได้เต็มประสิทธิภาพในการสร้างรายได้
อัตราส่วนทางการเงิน (Leverage) คือ สัดส่วนระหว่างสินทรัพย์รวมกับส่วนของผู้ถือหุ้น ตัวนี้สะท้อนถึงการใช้เงินทุนจากภายนอก (หนี้สิน) เพื่อเพิ่มขนาดสินทรัพย์และขยายธุรกิจ หาก Leverage สูง หมายความว่าบริษัทใช้เงินกู้มาก ซึ่งสามารถเพิ่ม ROE ได้ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงทางการเงินด้วยเช่นกัน
เมื่อต้องการวิเคราะห์ ROE ด้วย DuPont Analysis นักลงทุนหรือผู้บริหารควรตรวจสอบแต่ละองค์ประกอบเพื่อหาจุดแข็งและจุดอ่อน เช่น
หาก ROE สูงเพราะ อัตรากำไรสุทธิสูง แสดงว่าบริษัทมีการบริหารต้นทุนและราคาขายได้ดี ควรส่งเสริมกลยุทธ์ที่รักษาหรือเพิ่มอัตรากำไรนี้
หาก ROE สูงจาก อัตราการหมุนเวียนสินทรัพย์สูง แสดงว่าบริษัทใช้สินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจเน้นขยายการขายโดยไม่ต้องเพิ่มสินทรัพย์มากนัก
หาก ROE สูงจาก Leverage สูง นักลงทุนควรระวัง เพราะถึงแม้จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงทางการเงิน หากบริษัทมีหนี้สินมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อสภาพคล่องและความมั่นคง
ROE (Return on Equity) และ ROA (Return on Assets) เป็นอัตราส่วนทางการเงิน ที่ใช้วัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แต่มีจุดเน้นและการใช้งานที่ต่างกัน
วัดผลตอบแทนที่บริษัทสร้างขึ้นจากเงินลงทุนของผู้ถือหุ้น (ทุนเจ้าของ)
สูตร: ROE = ส่วนของผู้ถือหุ้น/กำไรสุทธิx100
วัดประสิทธิภาพของบริษัทในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (ทุนของบริษัททั้งสิน) เพื่อสร้างกำไร
สูตร: ROA = สินทรัพย์รวม/กำไรสุทธิx100
การลงทุนในหุ้นต้องอาศัยเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ที่แม่นยำ โดยเฉพาะตัวชี้วัดอย่าง ROE หรือ ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น ที่ช่วยวัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัท บทความนี้จะอธิบายว่าใครควรใช้ ROE เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจลงทุน และทำไม ROE จึงสำคัญในการวิเคราะห์คุณภาพกิจการ
นักลงทุนที่เป็นมืออาชีพ เน้นการเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี และราคายังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ROE เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการดูว่า บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนจาก เงินทุนผู้ถือหุ้น ได้ดีแค่ไหน ซึ่งช่วยบ่งบอกถึงคุณภาพ และความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องของกิจการ
นักวิเคราะห์พื้นฐาน ควรศึกษาข้อมูลเชิงลึกของกิจการมักใช้ ROE เพื่อประเมินประสิทธิภาพของบริษัทในการบริหารจัดการทุนและการทำกำไร ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมของศักยภาพและความมั่นคงทางการเงิน
ผู้เริ่มเรียนรู้หุ้น ควรดู ค่า ROE ที่ดี เป็นตัวเลขที่เข้าใจง่ายและเป็นตัวชี้วัดพื้นฐานที่บอกได้ว่า บริษัทนั้นๆ ใช้ทุนผู้ถือหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการวิเคราะห์หุ้น
มีหลายเหตุผลที่ว่าทำไม ROE ช่วยนักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินทุนของผู้ถือหุ้นได้ดี เรามาดูกันต่อเลย
ROE เป็นตัวชี้วัดที่แสดงถึงความสามารถของบริษัท ในการแปลงเงินทุนของผู้ถือหุ้นให้กลายเป็นกำไร ซึ่งหมายความว่า บริษัทที่มี ROE สูงสามารถสร้างรายได้ที่คุ้มค่ากับเงินลงทุน และเป็นสัญญาณว่ากิจการมีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ในทางตรงกันข้าม ROE ต่ำอาจบ่งชี้ถึงปัญหาในการบริหารจัดการทุนหรือธุรกิจที่ไม่สามารถทำกำไรได้เพียงพอ
ROE ที่ดีและมีความสม่ำเสมอบ่งบอกถึงการบริหารจัดการที่มีคุณภาพ เพราะการรักษา ROE ในระดับสูงหมายความว่า ผู้บริหารสามารถวางแผน และใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม ตัดสินใจลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนดี และควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บริษัทเติบโต และอยู่รอดในตลาดแข่งขัน
ROE ช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้ทุนของบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันได้อย่างง่ายดาย บริษัทที่มี ROE สูงกว่าคู่แข่งมักจะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การบริหารจัดการที่ดีกว่า หรือมีธุรกิจที่มีกำไรสูงกว่า ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ และคุณภาพดีกว่าในพอร์ตลงทุนของตน
การรักษา ROE ให้สูงและมั่นคงในระยะยาว แสดงว่าบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการเติบโต ความสามารถในการปรับตัว และความมั่นคงทางธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนมองหาเพื่อความมั่นใจในการลงทุนระยะยาว
แม้ ROE จะขึ้นอยู่กับผลกำไร และทุนผู้ถือหุ้น แต่ในบางกรณีที่บริษัทมีการใช้อัตราส่วนหนี้ต่อทุนสูง (Leverage) อาจส่งผลให้ ROE สูงขึ้น ไม่ได้มาจากประสิทธิภาพที่แท้จริง ดังนั้น นักลงทุนที่เข้าใจ ROE จะสามารถประเมินความเสี่ยงและความสมดุลของโครงสร้างทุนได้ดีขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มีความเสี่ยงทางการเงินสูง
ROE ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจคุณภาพของกิจการในเชิงลึก การนำ ROE ไปใช้จริงในการวิเคราะห์หุ้นจะช่วยให้เห็นภาพรวมของความสามารถในการทำกำไร
การวิเคราะห์งบการเงิน ROE ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมของประสิทธิภาพ การทำกำไร และความสม่ำเสมอของบริษัท หาก ROE มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือนิ่งอยู่ในระดับสูง แสดงว่าบริษัทมีการบริหารจัดการที่ดี และธุรกิจมีความมั่นคง ในทางกลับกัน ROE ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาภายในองค์กรหรือตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
การนำ ROE ของบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันมาเปรียบเทียบ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคัดกรองหุ้นที่มีศักยภาพสูงกว่าได้ บริษัทที่มี ROE สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม มักสะท้อนถึงความสามารถในการใช้ทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งนี้ควรพิจารณาควบคู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น โครงสร้างทุน และสภาพตลาด เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำยิ่งขึ้น
จากข้อมูล “Top ROE” ย้อนหลังล่าสุด ได้แก่ 20 อันดับแรกใน SET (ข้อมูล ณ 14 พ.ค. 2568) ซึ่งสะท้อนถึงกลุ่มบริษัทที่สร้างผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นสูงที่สุดในตลาด เรามาดูการเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมกันต่อเลย
บริษัท
ROE ล่าสุด
หมายเหตุ
Bualuang Securities (SET: LVMH01)
ประมาณ 19.5%
ROE สูงสะท้อนผลตอบแทนดีต่อกับผู้ถือหุ้น
Bualuang Office Leasehold REIT (SET: B-WORK)
-1.3%
ขาดทุนสุทธิ ROE ติดลบจากผลประกอบการไม่ดี
Bangkok Bank (ธนาคารกรุงเทพ)
ประมาณ 8.3-8.8%
ROE และ ROA ระบุในงบประจำปี
บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำอย่าง Finansia และ Bualuang ได้นำ ROE มาใช้เป็นหนึ่งในเกณฑ์หลักในการประเมินคุณภาพของกิจการและคาดการณ์มูลค่าหุ้น เรามาดูกันต่อว่ามีการประยุกต์ใช้ยังไงต่อเลย
Finansia ใช้ ROE เป็นตัวแปรหลักในแบบจำลอง ประเมินมูลค่าหุ้น เช่น Gordon Growth Model (GGM) ในรายงานการวิเคราะห์หุ้นกลุ่มสินเชื่อรายย่อยที่เข้าตลาดผ่าน IPO เช่นหุ้น SM (Star Money) Finansia ตั้งสมมติฐานว่า ROE ที่เหมาะสมควรอยู่ที่ระดับ 16% ถือเป็นอัตราผลตอบแทนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการทำกำไรจากทุนของผู้ถือหุ้น
หากบริษัทสามารถรักษา ROE ระดับนี้ได้ ก็จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำไรสุทธิ และมูลค่าหุ้นในระยะยาว ทั้งนี้ ROE ยังถูกนำไปใช้ประกอบกับปัจจัยอื่นๆ เช่น อัตราการเติบโตของกำไร (g) และโครงสร้างทุน เพื่อกำหนดราคาเป้าหมาย (Target Price)
บล.บัวหลวง ใช้ ROE ในการประเมินประสิทธิภาพของบริษัทเทียบกับคู่แข่ง กรณีศึกษาหุ้น LVMH01 พบว่า ROE อยู่ที่ประมาณ 19.5% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทสามารถใช้ทุนของผู้ถือหุ้นในการสร้างกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การมี ROE สูงเช่นนี้มักบ่งบอกถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ และช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุน นอกจากนี้ บัวหลวงยังใช้ ROE ควบคู่กับข้อมูลด้านงบการเงินอื่น ๆ เช่น Net Profit Margin และ Return on Assets เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของกิจการในมุมมองเชิงกลยุทธ์
ROE คือ ตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยประเมินความสามารถของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนจากทุนของผู้ถือหุ้น สะท้อนถึงคุณภาพการบริหารและศักยภาพในการทำกำไรของกิจการ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่ควรพิจารณา ROE เพียงอย่างเดียว ควรใช้ร่วมกับอัตราส่วนอื่น เช่น ROA, D/E และ Net Profit Margin เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของธุรกิจได้อย่างรอบด้านและตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย
ROE คือ ตัวชี้วัดที่สะท้อนว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรสุทธิจากเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นได้มากน้อยเพียงใด แสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทุนงบกำไรขาดทุนของบริษัท
ROE ประมาณ 15% ขึ้นไปถือว่าดี แต่ควรพิจารณาร่วมกับอุตสาหกรรมและบริบทของบริษัท
ROE สูงมาก อาจเกิดจากการใช้หนี้สินสูงหรือกำไรพิเศษ ไม่ได้แปลว่าบริษัทมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งเสมอไป
ROE สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารทุนผู้ถือหุ้น ช่วยให้นักลงทุนประเมินความสามารถในการทำกำไรและเปรียบเทียบบริษัทได้ง่าย
นักลงทุนควรดู ROE ย้อนหลังอย่างน้อย 3-5 ปี เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและความสม่ำเสมอของผลตอบแทนจากมูลค่าหุ้น
ใช่ค่ะ เพราะการเปรียบเทียบภายในอุตสาหกรรมจะช่วยให้เห็นภาพความสามารถในการใช้ทุนของแต่ละบริษัทได้แม่นยำกว่า
SEO Content Writer
อิสสริยา ดวงเนตร เป็นนักเขียนคอนเท้นต์ SEO ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ เรื่องตลาดเทรด และ การลงทุน เน้นสไตล์การเขียนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเนื้อหาความรู้จัดเต็ม พร้อมกับการผสมผสานเทคนิค SEO ที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาบทความได้ง่าย อย่าลืมติดตามกันนะคะ
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง