Facebook Pixel
Logo

คอร์สการเทรดออนไลน์ของ XS

เพิ่มพูนความรู้ของคุณด้วยคอร์สการเทรดออนไลน์ฟรีจาก

โซลูชั่นก็อปปี้เทรด
หน้าหลัก   Breadcrumb right  คอร์   Breadcrumb right  แนะนำการเทรดทางการเงิน   Breadcrumb right  การเทรดทางการเงินคืออะไร

การเทรดทางการเงินคืออะไร?

การเทรดทางการเงิน หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่าการซื้อขายทางการเงิน (Financial Trading) หมายถึง การซื้อและขายสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น สกุลเงิน หรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีความหวังที่จะทำกำไร เป็นเรื่องปกติที่คุณอาจรู้สึกไม่มั่นใจในช่วงแรกหากคุณเพิ่งเริ่มต้นแต่คอร์สนี้จะอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน

เมื่อจบบทเรียนนี้คุณจะเข้าใจว่าการเทรดทางการเงินคืออะไร ทำงานอย่างไร และควรคาดหวังอะไรได้บ้างเมื่อคุณเริ่มสำรวจตลาดต่างๆ

ในแก่นแท้ การเทรดทางการเงินคือการซื้อและขายสินทรัพย์ทางการเงิน—เช่น หุ้น สกุลเงิน และ สินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไร

เทรดเดอร์จะซื้อสินทรัพย์ที่เชื่อว่ามีแนวโน้มจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น และขายสินทรัพย์ที่คาดว่าราคาจะลดลง

 

ประเภทของตลาดการเงิน

การเทรดเกิดขึ้นในตลาดที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละตลาดจะมีสินทรัพย์เฉพาะของตนเอง

ต่อไปนี้คือตลาดหลักที่สำคัญ:

 

ตลาดหุ้น (Stock Market)

ตลาดที่มีการซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อลงทุนในหุ้นคุณกำลังซื้อส่วนหนึ่งของบริษัท ซึ่งเรียกว่า "หุ้น" หากบริษัทมีผลประกอบการดีมูลค่าหุ้นของคุณก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้คุณสามารถขายเพื่อทำกำไรได้

ตัวอย่าง: หากคุณซื้อหุ้นของบริษัทจำนวน 10 หุ้น ในราคาหุ้นละ $50 และราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $60 ต่อหุ้นคุณจะได้กำไร $100!

 

ตลาดฟอเร็กซ์ (Forex - Foreign Exchange)

ตลาดฟอเร็กซ์คือตลาดที่มีการซื้อขายสกุลเงินต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน

แตกต่างจากตลาดหุ้น ตลาดฟอเร็กซ์เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง วันจันทร์ถึงศุกร์ เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้จากการคาดการณ์ว่าค่าเงินจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด

ยกตัวอย่าง: หากคุณคาดว่าเงินยูโร (EUR) จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) คุณก็จะเปิดสถานะซื้อในคู่เงิน EUR/USD หากอัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้ นั่นแหละ...กำไรก็จะเข้ากระเป๋าคุณ!

 

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Market)

สินค้าโภคภัณฑ์คือวัตถุดิบพื้นฐาน เช่น น้ำมัน ทองคำ กาแฟ และข้าวสาลี ซึ่งสามารถซื้อขายได้ในสองรูปแบบ:

  • ตลาดสปอต (Spot Market) – ซื้อขายกันทันทีตามราคาปัจจุบัน

  • ตลาดฟิวเจอร์ส (Futures Market) – ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่กำหนดราคาไว้ล่วงหน้า

ยกตัวอย่าง: เทรดเดอร์ทองคำอาจซื้อสัญญาฟิวเจอร์สทองคำ โดยคาดว่าราคาทองจะปรับตัวสูงขึ้น หากราคาปรับขึ้นจริงก็สามารถขายทำกำไรได้!

 

วิธีการทำกำไรจากการเทรดทางการเงิน

ทีนี้เมื่อคุณคุ้นเคยกับตลาดประเภทต่างๆ แล้ว เรามาดูวิธีที่เทรดเดอร์สร้างกำไรกัน

 

การซื้อ (การเปิดสถานะซื้อ หรือ Going Long)

นี่คือการที่คุณ ซื้อสินทรัพย์ โดยคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น หากคุณขายในภายหลังที่ราคาสูงขึ้นคุณก็จะได้กำไร

ลองดูตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจแนวคิดของการซื้อให้ดีขึ้นสมมติว่าคุณสนใจตลาดหุ้นและตัดสินใจซื้อหุ้นของบริษัทชื่อ "บริษัท X"

คุณซื้อ หุ้น 10 หุ้นที่ราคาหุ้นละ $100 ดอลลาร์ รวมเป็น เงินลงทุนทั้งหมด $1,000 ดอลลาร์

หากบริษัท X มีผลประกอบการที่ดีและ ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $120 ดอลลาร์ต่อหุ้น เงินลงทุนของคุณจะมี มูลค่า $1,200 ดอลลาร์ หากคุณขายหุ้นทั้งหมดในราคานี้จะทำให้คุณได้ กำไร $200 ดอลลาร์

การซื้อ

 

การขาย (การเปิดสถานะขาย หรือ Going Short)

การขายชอร์ตเป็นกลยุทธ์ที่ตรงข้ามกับการซื้อ โดยคุณจะ ขายก่อน แล้วค่อยซื้อคืนในภายหลัง ที่ราคาต่ำลง วิธีนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้ในช่วงที่ราคาสินทรัพย์กำลังลดลง

ตัวอย่างเช่น: คุณเชื่อว่าหุ้นของบริษัท X กำลังจะมีมูลค่าลดลง คุณจึงยืมหุ้นจำนวน 10 หุ้นจากโบรกเกอร์ของคุณ แล้วขายออกไปในราคาปัจจุบันที่ $100 ดอลลาร์ต่อหุ้น

ต่อมา ราคาหุ้นลดลงเหลือ $80 ดอลลาร์ต่อหุ้นตามที่คุณคาดการณ์ไว้ คุณจึงซื้อหุ้นคืนจำนวน 10 หุ้นที่ราคานี้รวมเป็นเงิน $800 ดอลลาร์ และคืนหุ้นให้กับโบรกเกอร์ ในกรณีนี้คุณจะได้ กำไร $200 ดอลลาร์ (ขายที่ $1,000 ดอลลาร์ และซื้อคืนที่ $800 ดอลลาร์)

การขาย

 

บทบาทของแพลตฟอร์มเทรด (Role of a Trading Platform)

ในการเทรดคุณจำเป็นต้องใช้แพลตฟอร์มเทรด ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่โบรกเกอร์จัดเตรียมให้ โดยแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้คุณสามารถ:

  • ซื้อและขายสินทรัพย์

  • ดูราคาตลาดแบบเรียลไทม์

  • วิเคราะห์แนวโน้มและตัดสินใจอย่างมีข้อมูลประกอบ

 

คำสั่งซื้อขาย: Market Order, Limit Order และ Stop Order

เมื่อคุณส่งคำสั่งซื้อขายคุณสามารถเลือกประเภทคำสั่งหลัก ๆ ได้ 3 แบบ ดังนี้:

● Market Order (คำสั่งตามราคาตลาด) : เป็นคำสั่งซื้อหรือขาย ทันที ในราคาที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้นเหมาะกับการเทรดที่ต้องการความรวดเร็วแต่ไม่สามารถกำหนดราคาที่แน่นอนได้

●  Limit Order(คำสั่งจำกัดราคา): เป็นคำสั่งที่ให้คุณระบุราคาที่ต้องการซื้อหรือขายคำสั่งจะถูกดำเนินการก็ต่อเมื่อ ราคาตลาดมาถึงระดับที่คุณกำหนด ทำให้คุณควบคุมราคาได้มากขึ้นแม้อาจต้องรอนานกว่าในการดำเนินการให้เสร็จสิ้น

● Stop Order (คำสั่งหยุดขาดทุน): เป็นคำสั่งที่ “เริ่มทำงาน” เมื่อราคาตลาดแตะระดับที่กำหนดไว้มักใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุน หรือเพื่อล็อกกำไร

  • Stop-Loss Order: คำสั่งขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาลดลงถึงจุดที่กำหนด ช่วยจำกัดการขาดทุน

  • Stop-Buy Order: คำสั่งซื้อที่ทำงานเมื่อราคาปรับขึ้นถึงระดับที่กำหนด มักใช้เพื่อเข้าซื้อในจังหวะที่แนวโน้มกำลังเปลี่ยนเป็นขาขึ้น

 

บทบาทของโบรกเกอร์ในการเทรด (The Role of Brokers in Trading)                

โบรกเกอร์คือบริษัทที่ให้คุณเข้าถึงตลาดการเงินพวกเขาทำหน้าที่ดำเนินคำสั่งซื้อขายของคุณ และให้บริการเครื่องมือช่วยเทรด ข้อมูลวิเคราะห์ และการสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อให้คุณเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อเลือกโบรกเกอร์ควรพิจารณาเรื่องต่อไปนี้:

  • ค่าธรรมเนียมและคอมมิชชัน

  • ฟีเจอร์ของแพลตฟอร์ม

  • การบริการลูกค้า

  • การกำกับดูแลและความปลอดภัย

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทเรียนที่ 7

 

ประเภทของเทรดเดอร์ (Types of Traders)

ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าตลาดด้วยวิธีเดียวกัน บางคนชอบเทรดรวดเร็วภายในไม่กี่นาที ขณะที่บางคนถือสถานะเป็นเดือนหรือเป็นปี

ประเภทของเทรดเดอร์ที่คุณจะเป็นขึ้นอยู่กับ บุคลิกส่วนตัว ความสามารถในการรับความเสี่ยง และเวลาที่คุณสามารถทุ่มให้กับการเทรดได้

ต่อไปนี้คือประเภทของเทรดเดอร์หลัก ๆ:

 

Day Traders (เทรดเดอร์รายวัน)

  • ระยะเวลาการเทรด: ไม่กี่นาทีถึงไม่กี่ชั่วโมง (ไม่ถือข้ามคืน)

  • เป้าหมาย: ทำกำไรจากความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของราคาภายในวันเดียว

  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ชื่นชอบการตัดสินใจที่รวดเร็ว และติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา

ยกตัวอย่างเช่น: เทรดเดอร์รายวันซื้อหุ้นที่ราคา $50 ตอนเช้า และขายที่ $52 ในช่วงบ่ายและทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว

ความเสี่ยง: ต้องใช้สมาธิสูง ตอบสนองไว และมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด

 

Swing Traders (เทรดเดอร์สายสวิงเทรด)

  • ระยะเวลาการเทรด: ตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงไม่กี่สัปดาห์

  • เป้าหมาย: เก็บกำไรจากแนวโน้มระยะสั้นถึงกลาง โดยซื้อเมื่อราคาต่ำและขายเมื่อราคาสูง

  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการทำกำไรจากแนวโน้มราคาแต่ไม่ต้องการเฝ้าหน้าจอตลอดทั้งวัน

ยกตัวอย่างเช่น: เทรดเดอร์สายสวิงเทรดเห็นว่าราคาทองกำลังปรับขึ้นจึงเข้าซื้อที่ $1,900 หนึ่งสัปดาห์ต่อมาเมื่อราคาขึ้นถึง $1,950 พวกเขาจึงขายออกและได้กำไร

ความเสี่ยง: อาจเกิดช่องว่างของราคาข้ามคืน (overnight gaps) ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนโดยไม่คาดคิด

 

Scalpers (เทรดเดอร์สายสเกลเปอร์)

  • ระยะเวลาการเทรด: ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที

  • เป้าหมาย: ทำกำไรเล็ก ๆ หลายครั้งจากการเคลื่อนไหวของราคาที่น้อยมากตลอดทั้งวัน

  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่สามารถตัดสินใจได้รวดเร็ว และชอบจับจังหวะซื้อขายหลายครั้งในแต่ละวัน

ตัวอย่าง: เทรดเดอร์สายสเกลเปอร์ซื้อหุ้นที่ราคา $100.10 แล้วขายออกในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาที่ราคา $100.20 และทำแบบนี้ซ้ำหลายครั้งเพื่อสะสมกำไร

ความเสี่ยง: ต้นทุนธุรกรรมสูง และต้องการการส่งคำสั่งที่รวดเร็วมากเป็นพิเศษ

 

Position Traders (เทรดเดอร์ที่ถือสถานะระยะยาว)

  • ระยะเวลาการเทรด: ตั้งแต่หลายเดือนถึงหลายปี

  • เป้าหมาย: ถือครองสินทรัพย์ในระยะยาว โดยอิงจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มเศรษฐกิจ

  • เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่ชอบผลตอบแทนที่ช้าแต่มั่นคง และไม่ต้องติดตามตลาดทุกวัน

ตัวอย่าง: เทรดเดอร์ที่ถือครองสถานะระยะยาวซื้อหุ้นของบริษัทเทคโนโลยี โดยเชื่อว่านวัตกรรมของบริษัทจะช่วยผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า

ความเสี่ยง: ต้องใช้ความอดทนสูง และแนวโน้มระยะยาวอาจเปลี่ยนแปลงได้และยากต่อการคาดการณ์

 

คุณเป็นเทรดเดอร์ประเภทไหน?

สไตล์การเทรดของคุณขึ้นอยู่กับ:

  • เวลาที่สามารถทุ่มเทได้: คุณต้องการเทรดทุกวันหรือเป็นครั้งคราว?
  • ความทนต่อความเสี่ยง: คุณสามารถรับมือกับความผันผวนของราคาที่รวดเร็วได้หรือไม่?
  • บุคลิกภาพ: คุณเป็นคนใจเย็นและอดทน หรือคุณชอบการตัดสินใจที่รวดเร็ว?

เคล็ดลับ: หากคุณยังไม่แน่ใจลองเริ่มต้นด้วยบัญชีทดลองและทดลองเทรดในหลากหลายรูปแบบเพื่อดูว่าแบบไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด!

 

ข้อดีและความเสี่ยงของการเทรด

ก่อนจะเริ่มเทรดสิ่งสำคัญคือต้องมีความเข้าใจทั้งข้อดีและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อดี: การเทรดสามารถมอบผลตอบแทนทางการเงินที่สูง ความสามารถในการทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง และความยืดหยุ่นในการเทรดได้ทุกที่ทุกเวลา

  • ความเสี่ยง: ความเสี่ยงรวมถึงโอกาสที่จะสูญเสียเงินจากความผันผวนของตลาด โดยเฉพาะในการเทรดแบบใช้เลเวอเรจ (จะกล่าวเพิ่มเติมในบทเรียนถัดไป) การตัดสินใจด้วยอารมณ์และการขาดความรู้ความเข้าใจก็สามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้

 

เริ่มต้นเทรดอย่างไรสำหรับมือใหม่

  • เลือกโบรกเกอร์: มองหาโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและเหมาะกับผู้เริ่มต้น

  • ใช้บัญชีทดลอง : ฝึกเทรดโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริงด้วยเงินเสมือน

  • วางแผนการเทรด: กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ตั้งระดับความเสี่ยง และเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม

  • เริ่มต้นด้วยทุนที่ไม่มาก: เริ่มต้นการเทรดด้วยเงินทุนเล็ก ๆ จนกว่าจะมีความมั่นใจมากขึ้นแล้วค่อยเพิ่มขนาดการลงทุนในภายหลัง

 

สรุปบทเรียน

  • การเทรดในตลาดการเงินคือการซื้อขายสินทรัพย์เพื่อสร้างกำไร

  • ตลาดหลักที่สำคัญ ได้แก่ หุ้น, ฟอเร็กซ์ และสินค้าโภคภัณฑ์

  • เทรดเดอร์สามารถเลือก "ซื้อ" (Long) หรือ "ขาย" (Short) ขึ้นอยู่กับมุมมองต่อตลาด

  • โบรกเกอร์และแพลตฟอร์มเทรดเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้

  • ประเภทของเทรดเดอร์มีหลากหลาย เช่น เทรดเดอร์รายวัน, เทรดเดอร์สายสวิงเทรด, เทรดเดอร์สายสเกลเปอร์ และเทรดเดอร์ที่ถือสถานะระยะยาว

  • การเทรดมีทั้งโอกาสในการทำกำไร และความเสี่ยงที่ต้องบริหารจัดการ

เมื่อคุณเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้แล้วต่อไปเราจะเรียนรู้ในบทเรียนถัดไปว่า:  ทำไมถึงควรเทรด?

ถัดไป: ทำไมถึงควรเทรด
บทเรียนถัดไป

การเรียนรู้ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้

อ่านบล็อกล่าสุดของเราเพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการเทรด มุมมองตลาด และกลยุทธ์การเทรดจริง บล็อกของ XS จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล แรงบันดาลใจ และพร้อมสำหรับการเทรด