ตลาด
แพลตฟอร์ม
บัญชี
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือ
เพิ่มพูนความรู้ของคุณด้วยคอร์สการเทรดออนไลน์ฟรีจาก
การเทรดทางการเงิน หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่าการซื้อขายทางการเงิน (Financial Trading) หมายถึง การซื้อและขายสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น สกุลเงิน หรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีความหวังที่จะทำกำไร เป็นเรื่องปกติที่คุณอาจรู้สึกไม่มั่นใจในช่วงแรกหากคุณเพิ่งเริ่มต้นแต่คอร์สนี้จะอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน
เมื่อจบบทเรียนนี้คุณจะเข้าใจว่าการเทรดทางการเงินคืออะไร ทำงานอย่างไร และควรคาดหวังอะไรได้บ้างเมื่อคุณเริ่มสำรวจตลาดต่างๆ
ในแก่นแท้ การเทรดทางการเงินคือการซื้อและขายสินทรัพย์ทางการเงิน—เช่น หุ้น สกุลเงิน และ สินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไร
เทรดเดอร์จะซื้อสินทรัพย์ที่เชื่อว่ามีแนวโน้มจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น และขายสินทรัพย์ที่คาดว่าราคาจะลดลง
การเทรดเกิดขึ้นในตลาดที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละตลาดจะมีสินทรัพย์เฉพาะของตนเอง
ต่อไปนี้คือตลาดหลักที่สำคัญ:
ตลาดที่มีการซื้อขายหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อลงทุนในหุ้นคุณกำลังซื้อส่วนหนึ่งของบริษัท ซึ่งเรียกว่า "หุ้น" หากบริษัทมีผลประกอบการดีมูลค่าหุ้นของคุณก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้คุณสามารถขายเพื่อทำกำไรได้
ตัวอย่าง: หากคุณซื้อหุ้นของบริษัทจำนวน 10 หุ้น ในราคาหุ้นละ $50 และราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $60 ต่อหุ้นคุณจะได้กำไร $100!
ตลาดฟอเร็กซ์คือตลาดที่มีการซื้อขายสกุลเงินต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน
แตกต่างจากตลาดหุ้น ตลาดฟอเร็กซ์เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง วันจันทร์ถึงศุกร์ เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้จากการคาดการณ์ว่าค่าเงินจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด
ยกตัวอย่าง: หากคุณคาดว่าเงินยูโร (EUR) จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (USD) คุณก็จะเปิดสถานะซื้อในคู่เงิน EUR/USD หากอัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้ นั่นแหละ...กำไรก็จะเข้ากระเป๋าคุณ!
สินค้าโภคภัณฑ์คือวัตถุดิบพื้นฐาน เช่น น้ำมัน ทองคำ กาแฟ และข้าวสาลี ซึ่งสามารถซื้อขายได้ในสองรูปแบบ:
ตลาดสปอต (Spot Market) – ซื้อขายกันทันทีตามราคาปัจจุบัน
ตลาดฟิวเจอร์ส (Futures Market) – ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่กำหนดราคาไว้ล่วงหน้า
ยกตัวอย่าง: เทรดเดอร์ทองคำอาจซื้อสัญญาฟิวเจอร์สทองคำ โดยคาดว่าราคาทองจะปรับตัวสูงขึ้น หากราคาปรับขึ้นจริงก็สามารถขายทำกำไรได้!
ทีนี้เมื่อคุณคุ้นเคยกับตลาดประเภทต่างๆ แล้ว เรามาดูวิธีที่เทรดเดอร์สร้างกำไรกัน
นี่คือการที่คุณ ซื้อสินทรัพย์ โดยคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น หากคุณขายในภายหลังที่ราคาสูงขึ้นคุณก็จะได้กำไร
ลองดูตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจแนวคิดของการซื้อให้ดีขึ้นสมมติว่าคุณสนใจตลาดหุ้นและตัดสินใจซื้อหุ้นของบริษัทชื่อ "บริษัท X"
คุณซื้อ หุ้น 10 หุ้นที่ราคาหุ้นละ $100 ดอลลาร์ รวมเป็น เงินลงทุนทั้งหมด $1,000 ดอลลาร์
หากบริษัท X มีผลประกอบการที่ดีและ ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $120 ดอลลาร์ต่อหุ้น เงินลงทุนของคุณจะมี มูลค่า $1,200 ดอลลาร์ หากคุณขายหุ้นทั้งหมดในราคานี้จะทำให้คุณได้ กำไร $200 ดอลลาร์
การขายชอร์ตเป็นกลยุทธ์ที่ตรงข้ามกับการซื้อ โดยคุณจะ ขายก่อน แล้วค่อยซื้อคืนในภายหลัง ที่ราคาต่ำลง วิธีนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้ในช่วงที่ราคาสินทรัพย์กำลังลดลง
ตัวอย่างเช่น: คุณเชื่อว่าหุ้นของบริษัท X กำลังจะมีมูลค่าลดลง คุณจึงยืมหุ้นจำนวน 10 หุ้นจากโบรกเกอร์ของคุณ แล้วขายออกไปในราคาปัจจุบันที่ $100 ดอลลาร์ต่อหุ้น
ต่อมา ราคาหุ้นลดลงเหลือ $80 ดอลลาร์ต่อหุ้นตามที่คุณคาดการณ์ไว้ คุณจึงซื้อหุ้นคืนจำนวน 10 หุ้นที่ราคานี้รวมเป็นเงิน $800 ดอลลาร์ และคืนหุ้นให้กับโบรกเกอร์ ในกรณีนี้คุณจะได้ กำไร $200 ดอลลาร์ (ขายที่ $1,000 ดอลลาร์ และซื้อคืนที่ $800 ดอลลาร์)
ในการเทรดคุณจำเป็นต้องใช้แพลตฟอร์มเทรด ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่โบรกเกอร์จัดเตรียมให้ โดยแพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้คุณสามารถ:
ซื้อและขายสินทรัพย์
ดูราคาตลาดแบบเรียลไทม์
วิเคราะห์แนวโน้มและตัดสินใจอย่างมีข้อมูลประกอบ
เมื่อคุณส่งคำสั่งซื้อขายคุณสามารถเลือกประเภทคำสั่งหลัก ๆ ได้ 3 แบบ ดังนี้:
● Market Order (คำสั่งตามราคาตลาด) : เป็นคำสั่งซื้อหรือขาย ทันที ในราคาที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้นเหมาะกับการเทรดที่ต้องการความรวดเร็วแต่ไม่สามารถกำหนดราคาที่แน่นอนได้
● Limit Order(คำสั่งจำกัดราคา): เป็นคำสั่งที่ให้คุณระบุราคาที่ต้องการซื้อหรือขายคำสั่งจะถูกดำเนินการก็ต่อเมื่อ ราคาตลาดมาถึงระดับที่คุณกำหนด ทำให้คุณควบคุมราคาได้มากขึ้นแม้อาจต้องรอนานกว่าในการดำเนินการให้เสร็จสิ้น
● Stop Order (คำสั่งหยุดขาดทุน): เป็นคำสั่งที่ “เริ่มทำงาน” เมื่อราคาตลาดแตะระดับที่กำหนดไว้มักใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุน หรือเพื่อล็อกกำไร
Stop-Loss Order: คำสั่งขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาลดลงถึงจุดที่กำหนด ช่วยจำกัดการขาดทุน
Stop-Buy Order: คำสั่งซื้อที่ทำงานเมื่อราคาปรับขึ้นถึงระดับที่กำหนด มักใช้เพื่อเข้าซื้อในจังหวะที่แนวโน้มกำลังเปลี่ยนเป็นขาขึ้น
โบรกเกอร์คือบริษัทที่ให้คุณเข้าถึงตลาดการเงินพวกเขาทำหน้าที่ดำเนินคำสั่งซื้อขายของคุณ และให้บริการเครื่องมือช่วยเทรด ข้อมูลวิเคราะห์ และการสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อให้คุณเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อเลือกโบรกเกอร์ควรพิจารณาเรื่องต่อไปนี้:
ค่าธรรมเนียมและคอมมิชชัน
ฟีเจอร์ของแพลตฟอร์ม
การบริการลูกค้า
การกำกับดูแลและความปลอดภัย
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทเรียนที่ 7
ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าตลาดด้วยวิธีเดียวกัน บางคนชอบเทรดรวดเร็วภายในไม่กี่นาที ขณะที่บางคนถือสถานะเป็นเดือนหรือเป็นปี
ประเภทของเทรดเดอร์ที่คุณจะเป็นขึ้นอยู่กับ บุคลิกส่วนตัว ความสามารถในการรับความเสี่ยง และเวลาที่คุณสามารถทุ่มให้กับการเทรดได้
ต่อไปนี้คือประเภทของเทรดเดอร์หลัก ๆ:
ระยะเวลาการเทรด: ไม่กี่นาทีถึงไม่กี่ชั่วโมง (ไม่ถือข้ามคืน)
เป้าหมาย: ทำกำไรจากความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของราคาภายในวันเดียว
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ชื่นชอบการตัดสินใจที่รวดเร็ว และติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
ยกตัวอย่างเช่น: เทรดเดอร์รายวันซื้อหุ้นที่ราคา $50 ตอนเช้า และขายที่ $52 ในช่วงบ่ายและทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว
ความเสี่ยง: ต้องใช้สมาธิสูง ตอบสนองไว และมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด
ระยะเวลาการเทรด: ตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงไม่กี่สัปดาห์
เป้าหมาย: เก็บกำไรจากแนวโน้มระยะสั้นถึงกลาง โดยซื้อเมื่อราคาต่ำและขายเมื่อราคาสูง
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการทำกำไรจากแนวโน้มราคาแต่ไม่ต้องการเฝ้าหน้าจอตลอดทั้งวัน
ยกตัวอย่างเช่น: เทรดเดอร์สายสวิงเทรดเห็นว่าราคาทองกำลังปรับขึ้นจึงเข้าซื้อที่ $1,900 หนึ่งสัปดาห์ต่อมาเมื่อราคาขึ้นถึง $1,950 พวกเขาจึงขายออกและได้กำไร
ความเสี่ยง: อาจเกิดช่องว่างของราคาข้ามคืน (overnight gaps) ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนโดยไม่คาดคิด
ระยะเวลาการเทรด: ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที
เป้าหมาย: ทำกำไรเล็ก ๆ หลายครั้งจากการเคลื่อนไหวของราคาที่น้อยมากตลอดทั้งวัน
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่สามารถตัดสินใจได้รวดเร็ว และชอบจับจังหวะซื้อขายหลายครั้งในแต่ละวัน
ตัวอย่าง: เทรดเดอร์สายสเกลเปอร์ซื้อหุ้นที่ราคา $100.10 แล้วขายออกในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาที่ราคา $100.20 และทำแบบนี้ซ้ำหลายครั้งเพื่อสะสมกำไร
ความเสี่ยง: ต้นทุนธุรกรรมสูง และต้องการการส่งคำสั่งที่รวดเร็วมากเป็นพิเศษ
ระยะเวลาการเทรด: ตั้งแต่หลายเดือนถึงหลายปี
เป้าหมาย: ถือครองสินทรัพย์ในระยะยาว โดยอิงจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มเศรษฐกิจ
เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่ชอบผลตอบแทนที่ช้าแต่มั่นคง และไม่ต้องติดตามตลาดทุกวัน
ตัวอย่าง: เทรดเดอร์ที่ถือครองสถานะระยะยาวซื้อหุ้นของบริษัทเทคโนโลยี โดยเชื่อว่านวัตกรรมของบริษัทจะช่วยผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า
ความเสี่ยง: ต้องใช้ความอดทนสูง และแนวโน้มระยะยาวอาจเปลี่ยนแปลงได้และยากต่อการคาดการณ์
สไตล์การเทรดของคุณขึ้นอยู่กับ:
เคล็ดลับ: หากคุณยังไม่แน่ใจลองเริ่มต้นด้วยบัญชีทดลองและทดลองเทรดในหลากหลายรูปแบบเพื่อดูว่าแบบไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด!
ก่อนจะเริ่มเทรดสิ่งสำคัญคือต้องมีความเข้าใจทั้งข้อดีและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
ข้อดี: การเทรดสามารถมอบผลตอบแทนทางการเงินที่สูง ความสามารถในการทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง และความยืดหยุ่นในการเทรดได้ทุกที่ทุกเวลา
ความเสี่ยง: ความเสี่ยงรวมถึงโอกาสที่จะสูญเสียเงินจากความผันผวนของตลาด โดยเฉพาะในการเทรดแบบใช้เลเวอเรจ (จะกล่าวเพิ่มเติมในบทเรียนถัดไป) การตัดสินใจด้วยอารมณ์และการขาดความรู้ความเข้าใจก็สามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้
เลือกโบรกเกอร์: มองหาโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและเหมาะกับผู้เริ่มต้น
ใช้บัญชีทดลอง : ฝึกเทรดโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริงด้วยเงินเสมือน
วางแผนการเทรด: กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ตั้งระดับความเสี่ยง และเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม
เริ่มต้นด้วยทุนที่ไม่มาก: เริ่มต้นการเทรดด้วยเงินทุนเล็ก ๆ จนกว่าจะมีความมั่นใจมากขึ้นแล้วค่อยเพิ่มขนาดการลงทุนในภายหลัง
การเทรดในตลาดการเงินคือการซื้อขายสินทรัพย์เพื่อสร้างกำไร
ตลาดหลักที่สำคัญ ได้แก่ หุ้น, ฟอเร็กซ์ และสินค้าโภคภัณฑ์
เทรดเดอร์สามารถเลือก "ซื้อ" (Long) หรือ "ขาย" (Short) ขึ้นอยู่กับมุมมองต่อตลาด
โบรกเกอร์และแพลตฟอร์มเทรดเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้
ประเภทของเทรดเดอร์มีหลากหลาย เช่น เทรดเดอร์รายวัน, เทรดเดอร์สายสวิงเทรด, เทรดเดอร์สายสเกลเปอร์ และเทรดเดอร์ที่ถือสถานะระยะยาว
การเทรดมีทั้งโอกาสในการทำกำไร และความเสี่ยงที่ต้องบริหารจัดการ
เมื่อคุณเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้แล้วต่อไปเราจะเรียนรู้ในบทเรียนถัดไปว่า: ทำไมถึงควรเทรด?
พจนานุกรมคำศัพท์ของเราช่วยอธิบายคำศัพท์การเทรดที่ซับซ้อนให้ง่ายต่อความเข้าใจ เรียนรู้คำสำคัญที่นักเทรดทุกคนควรรู้
อ่านบล็อกล่าสุดของเราเพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการเทรด มุมมองตลาด และกลยุทธ์การเทรดจริง บล็อกของ XS จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล แรงบันดาลใจ และพร้อมสำหรับการเทรด