Facebook Pixel
Logo

คอร์สการเทรดออนไลน์ของ XS

เพิ่มพูนความรู้ของคุณด้วยคอร์สการเทรดออนไลน์ฟรีจาก

โซลูชั่นก็อปปี้เทรด

หุ้นคืออะไร?

การเทรดหุ้นถือเป็นหนึ่งในรูปแบบของการเทรดทางการเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาด หรือเทรดเดอร์ที่เริ่มมีประสบการณ์แล้วก็ตาม

ในบทเรียนนี้เราจะพาคุณไปดูพื้นฐานสำคัญว่า "หุ้น" คืออะไร ตลาดหุ้นทำงานอย่างไร และมีอะไรที่คุณควรรู้ก่อนเริ่มต้นลงทุนจริง.

หุ้น หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หุ้นสามัญ” หรือ “ตราสารทุน” คือหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของในบริษัทหนึ่ง ๆ
เมื่อคุณซื้อหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง คุณจะเป็นเจ้าของส่วนเล็ก ๆ ของบริษัทนั้น และกลายเป็นผู้ถือหุ้น

การเป็นผู้ถือหุ้นมาพร้อมกับสิทธิประโยชน์บางอย่าง เช่น การได้รับเงินปันผล (ส่วนแบ่งกำไรของบริษัท) และบางครั้งอาจมีสิทธิออกเสียงในการตัดสินใจของบริษัท

ตัวอย่างเช่น: ลองจินตนาการว่ามียิมในชุมชนแห่งหนึ่งแบ่งความเป็นเจ้าของออกเป็น 100 หุ้น และขายหุ้นเหล่านั้นให้กับคนในชุมชนหากคุณซื้อ 1 หุ้น คุณจะถือครอง 1% ของกิจการยิมนั้นเมื่อยิมเติบโตและสร้างรายได้มากขึ้นมูลค่าหุ้นของคุณก็จะเพิ่มขึ้นตามหุ้นในตลาดก็ทำงานในลักษณะคล้ายกันแบบนี้

stock example

 

คำศัพท์เกี่ยวกับหุ้นที่คุณควรรู้

นี่คือคำศัพท์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจและวางกลยุทธ์ได้ดีขึ้น:

  • Dividend (เงินปันผล): ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้น มักจ่ายเป็นรายไตรมาส

  • Bear Market (ตลาดหมี): ช่วงเวลาที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง มักเกิดในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย

  • Bull Market (ตลาดกระทิง): ช่วงเวลาที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมากจะเกิดในช่วงเศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่ง

  • IPO – Initial Public Offering (การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก): เมื่อบริษัทเอกชนเปิดขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกเพื่อระดมทุนและเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์

  • Market Capitalization (มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด): มูลค่ารวมของหุ้นทั้งหมดของบริษัทในตลาดใช้บ่งบอกขนาดของบริษัท (เล็ก กลาง ใหญ่)

  • Index (ดัชนี): ตัวชี้วัดที่ใช้ดูภาพรวมของตลาดหุ้น เช่น S&P 500 หรือ Dow Jones เพื่อประเมินแนวโน้มและประสิทธิภาพโดยรวมของตลาด

 

ประเภทของหุ้น

หุ้นมีหลายประเภทโดยแต่ละแบบก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง

ต่อไปนี้คือประเภทหลักที่ควรรู้:

  • หุ้นสามัญ (Common Stocks): เป็นประเภทของหุ้นที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดผู้ถือหุ้นประเภทนี้จะมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น และอาจได้รับเงินปันผล (แม้จะไม่รับประกันว่าจะจ่ายทุกครั้ง) หากบริษัทมีผลประกอบการดีราคาหุ้นมักจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้นสามัญ

  • หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stocks): หุ้นประเภทนี้มักจะไม่ให้สิทธิออกเสียงในที่ประชุมแต่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในอัตราคงที่ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ หากบริษัทล้มละลายผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะมีสิทธิได้รับเงินคืนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ

 

ตลาดหุ้นทำงานอย่างไร

ตลาดหุ้นคือสถานที่ที่ผู้คนซื้อขายหุ้นกัน โดยการซื้อขายเหล่านี้เกิดขึ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ เช่น NYSE (New York Stock Exchange) และ NASDAQ

บริษัทต่าง ๆ จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดผ่านกระบวนการที่เรียกว่า IPO (Initial Public Offering) หรือ “การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก” เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วไปสามารถซื้อและขายหุ้นของบริษัทได้ราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงตามหลักของ อุปสงค์และอุปทาน ถ้ามีคนต้องการซื้อหุ้นมากราคาก็จะปรับขึ้นแต่ในทางกลับกันถ้ามีคนขายมากราคาก็จะลดลง

ตัวอย่างเช่น:

  1. บริษัท X เข้าจดทะเบียนในตลาดและเปิดขายหุ้นที่ราคา $10 ต่อหุ้น

  2. บุคคล A ซื้อหุ้น 100 หุ้น รวมเป็นเงิน $1,000

  3. เมื่อเวลาผ่านไปบริษัท X เติบโต และราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $15 ต่อหุ้น

  4. บุคคล A ขายหุ้นทั้งหมดได้เงินกลับมา $1,500 ทำกำไรได้ $500 จากส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขาย

ตลาดหุ้นเป็นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงตามผลประกอบการของบริษัท มุมมองของนักลงทุน และสภาพเศรษฐกิจโดยรวม

 

การทำความเข้าใจกับราคาหุ้น

ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากปัจจัยต่างๆ:

  • ผลการดำเนินงานของบริษัท: สถานะทางการเงิน ความสามารถในการทำกำไร และแนวโน้มการเติบโตของบริษัท

  • แนวโน้มของตลาด: ภาพรวมของตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ๆ

  • ความรู้สึกของนักลงทุน: ความคาดหวังและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่ออนาคตของบริษัทหรือเศรษฐกิจ

ราคาหุ้นยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยพื้นฐาน (รายงานทางการเงิน, ผลกำไร) และปัจจัยทางเทคนิค (แนวโน้มราคา, กราฟ) นักเทรดระยะสั้นมักอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิค ในขณะที่นักลงทุนระยะยาวจะมุ่งเน้นที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท

 

ปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวโน้มของตลาดหุ้น

ราคาหุ้นไม่ได้เคลื่อนไหวแบบสุ่มมีหลายปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อแนวโน้มตลาด มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ขับเคลื่อนแนวโน้มของตลาด:

 

ภาวะเศรษฐกิจ (Economic Health)

เมื่อเศรษฐกิจเติบโต ธุรกิจมีกำไรมากขึ้น ผู้คนใช้จ่ายมากขึ้น และราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจชะลอตัว หรือมีอัตราการว่างงานสูง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง และราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวลดลงตาม

 

อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates)

เมื่อธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ต้นทุนการกู้ยืมจะสูงขึ้น ธุรกิจจะชะลอตัวลง และราคาหุ้นมักจะลดลง แต่ในทางกลับกันถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงผู้คนและธุรกิจจะกล้าใช้จ่ายและลงทุนมากขึ้น ซึ่งมักจะส่งผลให้ราคาหุ้นขยับสูงขึ้นได้

 

ผลประกอบการของบริษัท (Corporate Earnings)

ทุก ๆ ไตรมาส บริษัทจะรายงานผลกำไรของตนถ้าบริษัททำรายได้ได้ดีกว่าที่ตลาดคาดหวัง ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นแต่หากผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาดราคาหุ้นอาจร่วงลงได้เพราะนักลงทุนจะเริ่มทบทวนความคาดหวังของตนใหม่

 

เหตุการณ์ด้านการเมืองและสถานการณ์ระหว่างประเทศ (Political & Global Events)

การเลือกตั้ง สงครามการค้า ภัยธรรมชาติ และเหตุการณ์สำคัญระดับนานาชาติสามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาดได้ เมื่อเสถียรภาพทางการเมืองและข้อตกลงทางการค้าเป็นไปในเชิงบวกโดยทั่วไปมักจะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น แต่ในทางตรงข้ามความไม่แน่นอนหรือความขัดแย้งอาจทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นจากความตื่นตระหนก

 

มุมมองของนักลงทุน (Investor Sentiment)

บางครั้ง ตลาดเคลื่อนไหวตามอารมณ์มากกว่าเหตุผลในมุมมองของถ้านักลงทุนรู้สึกมั่นใจพวกเขาจะซื้อหุ้นมากขึ้นสิ่งนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแต่หากเกิดความกลัวเข้าครอบงำ (เช่นจากข่าวร้ายหรือความไม่แน่นอน) นักลงทุนอาจเทขายหุ้นส่งผลทำทำให้ตลาดปรับตัวลดลงตาม

 

บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ (The Role of Stock Exchanges)

ตลาดหลักทรัพย์คือตลาดกลางที่มีการซื้อขายหุ้นตลาดเหล่านี้จัดสภาพแวดล้อมที่มีโครงสร้างชัดเจนเพื่อให้บริษัทสามารถเข้าจดทะเบียน และให้นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นได้อย่างปลอดภัยและโปร่งใส

 

ตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำของโลก (Major Stock Exchanges)

ตลาดหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้แก่:

  • New York Stock Exchange (NYSE): ตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่รู้จักจากการจดทะเบียนของบริษัทขนาดใหญ่ที่มั่นคง (blue-chip)

  • NASDAQ: ตลาดหลักทรัพย์ที่เน้นบริษัทด้านเทคโนโลยี มีบริษัทชั้นนำอย่าง Apple, Amazon และ Tesla จดทะเบียนอยู่

  • London Stock Exchange (LSE): หนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก เป็นศูนย์กลางของบริษัทจากยุโรปหลายแห่ง

  • Tokyo Stock Exchange (TSE): ตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นที่ตั้งของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota และ Sony

 

ตลาดหลักทรัพย์ทำงานอย่างไร (How Stock Exchanges Work)

ตลาดหลักทรัพย์ทำงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ซื้อและผู้ขายส่งคำสั่งซื้อขายเข้ามาระบบจะจับคู่คำสั่งโดยอิงจาก “ราคา” และ “ความพร้อมของหุ้น” ในตลาด

ตลาดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

  • ตลาดเสนอขายหุ้นครั้งแรก (Primary Market): ตลาดที่บริษัทออกหุ้นใหม่ผ่านการเสนอขายต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO – Initial Public Offering)  นักลงทุนจะซื้อหุ้นโดยตรงจากบริษัท

  • ตลาดซื้อขายภายหลังการเสนอขาย (Secondary Market): ตลาดที่นักลงทุนซื้อขายหุ้นระหว่างกันกับผู้ถือหุ้นเมื่อหุ้นได้รับการจดทะเบียนแล้วจะถูกซื้อขายในตลาดรอง

ตัวอย่างเช่น: หากบริษัทหนึ่งเปิดขายหุ้นครั้งแรกผ่าน IPO นักลงทุนจะซื้อหุ้นนั้นในตลาดแรก หลังจากนั้น หุ้นเหล่านี้จะถูกซื้อขายกันระหว่างนักลงทุนในตลาดรองผ่านตลาดหลักทรัพย์อย่าง NYSE หรือ NASDAQ

 

ประโยชน์และความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้น

ข้อดี:

  • มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงในระยะยาว

  • สร้างความมั่งคั่งจากการลงทุนในบริษัทที่ประสบความสำเร็จ

  • หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องซื้อขายได้ง่าย

ความเสี่ยง:

  • ราคาหุ้นผันผวนอาจทำให้ขาดทุนได้

  • ไม่มีผลตอบแทนที่การันตีราคาขึ้นอยู่กับภาวะตลาด

  • การลงทุนโดยไม่มีการศึกษาข้อมูลอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด

เคล็ดลับ: หนึ่งในวิธีลดความเสี่ยงที่ดีคือการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นและอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท

 

เริ่มต้นเทรดหุ้นสำหรับมือใหม่

ก่อนจบบทเรียนนี้มาดูขั้นตอนพื้นฐานในการเริ่มต้นเทรดหุ้นสำหรับผู้เริ่มต้นกัน:

  • เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์: เลือกบริษัทโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น ในตอนท้ายของคอร์สเรียนนี้ เราจะอธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมการเลือกโบรกเกอร์ที่ไว้วางใจได้จึงสำคัญต่อการเทรดออนไลน์

  • ศึกษาข้อมูลหุ้น: ก่อนลงทุนควรศึกษาหุ้นที่คุณสนใจให้รอบด้านเพื่อเข้าใจทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

  • เริ่มเทรด: ซื้อหุ้นผ่านบัญชีโบรกเกอร์ของคุณ โดยคำนึงถึงเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่คุณสามารถยอมรับได้

 

สรุปบทเรียน

  • หุ้นคือสิทธิความเป็นเจ้าของในบริษัท และเมื่อคุณซื้อหุ้นคุณจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น

  • หุ้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก: หุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ

  • ตลาดหุ้นคือตลาดที่ใช้สำหรับซื้อขายหุ้น

  • ราคาหุ้นได้รับอิทธิพลจากผลประกอบการของบริษัท แนวโน้มตลาด และความรู้สึกของนักลงทุน

  • ข้อดีของการลงทุนในหุ้นคือมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงส่วนความเสี่ยงคือราคาที่ผันผวน

  • หากต้องการเริ่มต้นเทรดหุ้น: เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ ศึกษาหุ้น และซื้อ–ขายตามกลยุทธ์การลงทุนของคุณ

ในบทเรียนถัดไปเราจะไปทำความรู้จักกับ “ตลาดฟอเร็กซ์” ตลาดการเงินที่ใหญ่และมีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก

ถัดไป: การเทรดฟอเร็กซ์คืออะไร
บทเรียนถัดไป

การเรียนรู้ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้

อ่านบล็อกล่าสุดของเราเพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการเทรด มุมมองตลาด และกลยุทธ์การเทรดจริง บล็อกของ XS จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล แรงบันดาลใจ และพร้อมสำหรับการเทรด