Facebook Pixel
Logo

คอร์สการเทรดออนไลน์ของ XS

เพิ่มพูนความรู้ของคุณด้วยคอร์สการเทรดออนไลน์ฟรีจาก

โซลูชั่นก็อปปี้เทรด
หน้าหลัก   Breadcrumb right  คอร์   Breadcrumb right  บทนำสู่ การเทรดหุ้น   Breadcrumb right  การบริหารความเสี่ยงในการซื้อขายหุ้น

การบริหารความเสี่ยงในการซื้อขายหุ้น

บทเรียนนี้มุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจ และการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น

ก่อนที่คุณจะพัฒนากลยุทธ์เพื่อรับมือกับความเสี่ยงตามระดับการยอมรับความเสี่ยงของตนเองได้ สิ่งสำคัญคือการระบุให้ได้ว่ามีความเสี่ยงประเภทใดบ้างที่อาจเกิดขึ้นตลอดเส้นทางการซื้อขายของคุณ

 

ทำความเข้าใจกับประเภทของความเสี่ยง

ก่อนที่เราจะวางกลยุทธ์เพื่อกำหนดระดับความยอมรับความเสี่ยง สิ่งสำคัญคือต้องรู้ก่อนว่าในเส้นทางการซื้อขายหุ้น คุณอาจต้องเจอกับความเสี่ยงรูปแบบใดบ้าง

มาเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจความเสี่ยงหลัก 2 ประเภท ได้แก่ ความเสี่ยงจากตลาด และ ความเสี่ยงเฉพาะของหุ้นรายตัว

 

ความเสี่ยงจากตลาด (Market Risks)

ความเสี่ยงจากตลาด หรือที่เรียกกันว่า ความเสี่ยงที่เป็นระบบ (Systematic Risk) คือความเสี่ยงพื้นฐานที่มาพร้อมกับการลงทุนในตลาดหุ้น หมายถึงโอกาสที่นักลงทุนจะขาดทุนจากปัจจัยที่กระทบต่อทั้งตลาดโดยรวม ไม่ใช่แค่หุ้นรายตัว

ความเสี่ยงประเภทนี้หลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะเป็นผลจากเหตุการณ์ขนาดใหญ่ในระดับประเทศหรือระดับโลก ตัวอย่างเช่น:

  • ภาวะเศรษฐกิจถดถอย: เมื่อเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวตลาดหุ้นก็มักปรับตัวลดลงตาม

  • ความไม่แน่นอนทางการเมือง: การเลือกตั้ง การเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศมักสร้างแรงกดดันต่อตลาด

  • เหตุการณ์ระดับโลก: โรคระบาดครั้งใหญ่ ภัยธรรมชาติ หรือวิกฤตเศรษฐกิจโลก เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้ตลาดทั่วโลกร่วงหนักในช่วงเวลาเดียวกัน

เนื่องจากความเสี่ยงจากตลาดมีผลกระทบในวงกว้าง นักลงทุนจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการกระจายพอร์ตเพียงอย่างเดียวต่างจากความเสี่ยงของหุ้นรายตัวที่อาจจัดการได้เฉพาะเจาะจงกว่า

 

ความเสี่ยงจากหุ้นรายตัว

ความเสี่ยงจากหุ้นรายตัว หรือที่เรียกว่า ความเสี่ยงเฉพาะ (Unsystematic Risk) เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรืออุตสาหกรรมเฉพาะ
ต่างจากความเสี่ยงจากตลาดที่ส่งผลต่อทั้งระบบ ความเสี่ยงนี้จะมีผลกระทบเฉพาะกับราคาหุ้นของบริษัทนั้น ๆ โดยตรง ตัวอย่างปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงจากหุ้นรายตัว ได้แก่:

  • การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร: การแต่งตั้ง CEO คนใหม่ หรือการเปลี่ยนผู้นำสำคัญ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งสามารถกระทบราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ

  • ปัญหาสินค้า: การเรียกคืนสินค้า หรือการเปิดเผยข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ อาจทำให้ยอดขายลดลงและภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียหายส่งผลให้ราคาหุ้นร่วง

  • กฎระเบียบใหม่ในอุตสาหกรรม: การออกกฎหมายหรือข้อกำหนดใหม่ที่กระทบต้นทุนการดำเนินงาน อาจส่งผลต่อผลกำไรของบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นทำให้ราคาหุ้นผันผวนตามไปด้วย

แม้จะไม่สามารถควบคุมความเสี่ยงทั้งหมดได้ แต่นักลงทุนสามารถลดผลกระทบจากความเสี่ยงเฉพาะนี้ได้ด้วยการกระจายความเสี่ยง

 

ความเสี่ยงที่พบบ่อย

  • ความเสี่ยงจากความผันผวน (Volatility Risk) : หมายถึงระดับการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในช่วงเวลาหนึ่ง หากหุ้นมีความผันผวนสูง ราคาของหุ้นอาจเปลี่ยนแปลงอย่างมากในระยะสั้น ซึ่งอาจนำไปสู่ผลตอบแทนที่สูงขึ้น หรือขาดทุนมากขึ้นเช่นกัน

  • ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) : เกิดขึ้นเมื่อผู้ซื้อหรือผู้ขายไม่สามารถซื้อหรือขายหุ้นได้อย่างรวดเร็วในราคาปัจจุบัน เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายในตลาดไม่เพียงพอ หุ้นที่มีการซื้อขายน้อยมักมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องสูงกว่า

  • ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) : เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าของหุ้น เช่น เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ราคาหุ้นในตลาดมักจะปรับตัวลดลง

 

กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

 

การกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้หมายถึงระดับความผันผวนของผลตอบแทนจากการลงทุนที่บุคคลสามารถรับมือได้โดยไม่กระทบต่อเป้าหมายทางการเงินหรือสภาพจิตใจของตนเอง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ฐานะทางการเงิน อายุ เป้าหมายการลงทุน และความสามารถทางอารมณ์ในการรับมือกับการขาดทุน

การเข้าใจระดับความเสี่ยงที่ตนเองสามารถยอมรับได้ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะเป็นตัวกำหนดประเภทของการลงทุนที่เหมาะสมกับคุณ เช่น หากคุณรับความเสี่ยงได้มาก คุณอาจเลือกลงทุนในหุ้นมากกว่า แต่ หากคุณต้องการความมั่นคง อาจเลือกลงทุนในพันธบัตรหรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า

การปรับระดับความเสี่ยงให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนของคุณถือเป็นรากฐานสำคัญของการวางแผนลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ หากเป้าหมายของคุณคือผลตอบแทนในระยะสั้น คุณอาจยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น ในทางกลับกัน หากคุณต้องการสร้างผลตอบแทนระยะยาวอาจเหมาะกับกลยุทธ์ที่อนุรักษ์นิยมมากกว่า

สำหรับผู้เริ่มต้นลงทุน สิ่งสำคัญคือต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนก่อน เช่น คุณกำลังวางแผนเกษียณ ซื้อบ้าน หรือสร้างกองทุนฉุกเฉิน? เพราะแต่ละเป้าหมายมีระยะเวลาและระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

 

การกระจายการลงทุน

การกระจายการลงทุน คือกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยง โดย การกระจายเงินลงทุน ไปยังเครื่องมือทางการเงินหลายประเภท อุตสาหกรรมที่หลากหลาย หรือหมวดสินทรัพย์ที่แตกต่างกันเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดจากการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงอย่างเดียว

แนวคิดหลักของการกระจายการลงทุนก็คือคำกล่าวที่ว่า อย่าเอาไข่ทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว เพราะหากคุณลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เมื่อมีบางรายการให้ผลตอบแทนติดลบ รายการอื่นอาจให้ผลตอบแทนบวก ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการขาดทุน

ตัวอย่างเช่น หากหุ้นในบางกลุ่มอุตสาหกรรมเกิดขาดทุนเนื่องจากปัญหาเฉพาะทาง การมีการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ ก็สามารถช่วยชดเชยและรักษาสมดุลของพอร์ตโดยรวมได้ วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนและทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตโดยรวมมีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะยาว

 

การใช้คำสั่ง Stop Loss

คำสั่ง Stop Loss ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงในการซื้อขายหุ้น โดยใช้เพื่อจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น คำสั่งนี้จะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อราคาหุ้นถึงจุดที่กำหนดไว้ ซึ่งมักจะต่ำกว่าราคาซื้อในกรณีที่ถือสถานะซื้อ (long position) หรือสูงกว่าราคาขายในกรณีที่ถือสถานะขาย (short position)

จุดประสงค์หลักของคำสั่ง Stop Loss คือการสร้างตาข่ายนิรภัย เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์จำกัดความเสี่ยง โดยไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา

โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง ซึ่งช่วยลดโอกาสในการตัดสินใจผิดพลาดด้วยอารมณ์

 

วิธีการตั้งค่า Stop Loss:

  • กำหนดระดับราคาหยุดขาดทุน (Stop Price): คุณสามารถตั้งราคา Stop Loss จากเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำกว่าราคาซื้อ หรืออิงจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น ตั้งไว้ต่ำกว่าระดับแนวรับเล็กน้อย

  • การตั้งตามเปอร์เซ็นต์ (Percentage Method): ตั้ง Stop Loss ที่ระดับราคาต่ำกว่าราคาซื้อ เช่น 10% จากจุดเข้าซื้อ เพื่อจำกัดขาดทุนสูงสุดที่ยอมรับได้

  • วิธีวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis Method): ใช้กราฟหรือรูปแบบทางเทคนิค เช่น เส้นแนวรับ–แนวต้าน เพื่อกำหนดจุด Stop Loss อย่างมีเหตุผล

  • การปรับจุด Stop Loss ตามราคา (Trailing Stop): เมื่อตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ให้กำไร คุณสามารถปรับจุด Stop Loss ให้สูงขึ้นตามราคาหุ้น เพื่อช่วยปกป้องกำไรที่ได้ โดยเทคนิคนี้เรียกว่า “Trailing Stop” ซึ่งช่วยให้คุณจำกัดขาดทุนหากราคากลับตัว โดยไม่ต้องปิดสถานะเร็วเกินไป

  • ข้อควรพิจารณา (Considerations) : การตั้ง Stop Loss ควรมีความสมดุล ไม่ตั้งใกล้ราคาปัจจุบันเกินไปจนทำให้ถูกตัดขาดทุนจากความผันผวนปกติของตลาดโดยไม่จำเป็น และไม่ตั้งกว้างเกินไปจนไม่สามารถจำกัดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

บทสรุปบทเรียน

  • ความเสี่ยงในระดับตลาด (Market Risk) เป็นความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดหุ้น โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความไม่มั่นคงทางการเมือง และเหตุการณ์ระดับโลก

  • ความเสี่ยงเฉพาะรายบริษัท (Individual Stock Risk) เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับบริษัทหรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง เช่น การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร การเรียกคืนสินค้า หรือการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ

  • ความเสี่ยงทั่วไป ได้แก่ ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย

  • กลยุทธ์จัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพได้แก่ การกำหนดระดับการยอมรับความเสี่ยง การกระจายการลงทุน และการใช้คำสั่งหยุดขาดทุน (Stop-Loss) เพื่อลดการขาดทุน

การเข้าใจลักษณะของความเสี่ยงทั้งในระดับตลาดและรายบริษัท ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์อย่าง การกำหนดความเสี่ยงที่รับได้ การกระจายพอร์ต และการใช้คำสั่งหยุดขาดทุน ถือเป็นขั้นตอนสำคัญสู่การซื้อขายหุ้นอย่างมั่นใจและปลอดภัย

ถัดไป: กฎระเบียบและจริยธรรมในการซื้อขายหุ้น
บทเรียนถัดไป

การเรียนรู้ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้

อ่านบล็อกล่าสุดของเราเพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการเทรด มุมมองตลาด และกลยุทธ์การเทรดจริง บล็อกของ XS จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล แรงบันดาลใจ และพร้อมสำหรับการเทรด