ตลาด
แพลตฟอร์ม
บัญชี
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
การแข่งขัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือการเทรด
แหล่งข้อมูล
เพิ่มพูนความรู้ของคุณด้วยคอร์สการเทรดออนไลน์ฟรีจาก
หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับตลาดหุ้นไปแล้ว บทเรียนนี้จะพูดถึงประเภทของหุ้นต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตลาด
เราจะยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับผู้มีบทบาทหลักในตลาดหุ้น ตั้งแต่นักลงทุนรายย่อยไปจนถึงผู้เล่นในระดับสถาบัน
หุ้นมีอยู่หลายประเภทให้นักลงทุนเลือก โดยแต่ละประเภทมีลักษณะและวัตถุประสงค์เฉพาะของตัวเอง ในหัวข้อนี้ เราจะสำรวจประเภทหลักของหุ้น และดูว่าหุ้นแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไรในแง่ของสิทธิความเป็นเจ้าของ ความเสี่ยง และโอกาสในการได้รับผลตอบแทน
หุ้นสามัญคือหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของในบริษัท เมื่อคุณซื้อหุ้นสามัญหนึ่งหน่วย คุณกำลังซื้อความเป็นเจ้าของเพียงเล็กน้อยในบริษัทนั้น ซึ่งจะทำให้คุณได้รับสิทธิ์บางประการ เช่น:
สิทธิ์ในการลงคะแนนในบางเรื่องของบริษัท เช่น การเลือกคณะกรรมการบริษัท
สิทธิ์ในการรับเงินปันผล ซึ่งเป็นส่วนแบ่งกำไรของบริษัทที่จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น
โดยทั่วไปแล้ว หุ้นสามัญเป็นประเภทของหุ้นที่มีความผันผวนมากที่สุด หมายความว่าราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากเมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ตาม หุ้นสามัญก็มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงที่สุดเช่นกัน
หากบริษัทมีผลประกอบการที่ดี มูลค่าหุ้นก็มักจะเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน หากบริษัทมีผลประกอบการที่แย่ มูลค่าหุ้นก็อาจลดลง
ตัวอย่างเช่น ผู้ถือหุ้นของบริษัท Apple Inc. มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียง และอาจได้รับเงินปันผล
หุ้นบุริมสิทธิ์คือหุ้นประเภทหนึ่งที่โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียง แต่ให้สิทธิ์เหนือกว่าหุ้นสามัญในด้านสินทรัพย์และผลประกอบการของบริษัท หุ้นประเภทนี้มักจ่ายเงินปันผลในอัตราคงที่ และถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นสามัญ โดยเฉพาะในด้านการสร้างรายได้
ต่อไปนี้คือคุณลักษณะที่ทำให้หุ้นประเภทนี้ถูกเรียกว่า บุริมสิทธิ์ :
เงินปันผล: ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับเงินปันผลในอัตราคงที่ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ ซึ่งหมายถึงได้รับสิทธิ์ในการรับเงินก่อน
ความเสี่ยงต่ำกว่า: หุ้นบุริมสิทธิ์มีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นสามัญ เนื่องจากผู้ถือหุ้นมีสิทธิ์เหนือกว่าต่อสินทรัพย์ของบริษัทในกรณีที่มีการชำระบัญชี
ไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียง: โดยทั่วไปแล้วผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียงในเรื่องต่าง ๆ ของบริษัท
หุ้นเติบโตคือหุ้นของบริษัทที่คาดว่าจะมีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในตลาด
หุ้นประเภทนี้มักจะไม่จ่ายเงินปันผล เพราะบริษัทเลือกที่จะนำกำไรกลับไปลงทุนต่อ เพื่อเร่งการเติบโตในระยะสั้น
การลงทุนในหุ้นเติบโตอาจมีความเสี่ยงมากกว่า แต่ก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเช่นกัน นักลงทุนมักสนใจหุ้นเติบโตเพราะต้องการกำไรจากส่วนต่างราคามากกว่ารายได้จากเงินปันผล
ตัวอย่างเช่น บริษัท Tesla Inc. เป็นที่รู้จักในด้านการเติบโตอย่างรวดเร็วและศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าหุ้นอย่างมาก โดยมักเลือกนำกำไรกลับไปลงทุนต่อแทนการจ่ายเงินปันผล
หุ้นคุณค่า (Value Stocks) หมายถึงหุ้นของบริษัทที่ดูเหมือนมีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน เช่น เงินปันผล กำไร หรือยอดขาย ซึ่งทำให้หุ้นประเภทนี้น่าสนใจสำหรับนักลงทุนสายเน้นมูลค่า (Value Investors)
หุ้นเหล่านี้มักถูกมองข้ามและมีราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในตลาด โดยอาจเป็นบริษัทที่กำลังเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก หรือเป็นบริษัทที่มีศักยภาพแต่ยังไม่เป็นที่สนใจของตลาด
การลงทุนในหุ้นคุณค่ามักถูกมองว่า มีความเสี่ยงน้อยกว่า หุ้นเติบโต แต่ต้องใช้ ความอดทน เนื่องจากอาจต้องใช้เวลาสักระยะก่อนที่มูลค่าที่แท้จริงจะสะท้อนออกมาในราคาหุ้น
ตัวอย่างเช่น บริษัท The Coca-Cola Company (KO) มีราคาหุ้นที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าในมุมมองของตลาด
นอกเหนือจากประเภทของหุ้นแล้ว หุ้นยังสามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ ได้อีกด้วย
การจัดประเภทของหุ้นหมายถึงการจำแนกหุ้นตามเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) กลุ่มอุตสาหกรรม และลักษณะการลงทุน
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหมายถึง มูลค่ารวมในตลาดของหุ้นทั้งหมด ที่บริษัทออกจำหน่ายอยู่ โดยสามารถคำนวณได้จาก:
ราคาตลาดปัจจุบันของหุ้นหนึ่งหน่วย × จำนวนหุ้นทั้งหมดที่ออกจำหน่ายอยู่
หุ้นมักแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ได้แก่:
หุ้นขนาดใหญ่ (Large-cap): มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์
หุ้นขนาดกลาง (Mid-cap): ระหว่าง 2,000 ล้านถึง 10,000 ล้านดอลลาร์
หุ้นขนาดเล็ก (Small-cap): ต่ำกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์
โดยทั่วไป หุ้นขนาดใหญ่มักถูกมองว่ามีความมั่นคงมากกว่า ส่วนหุ้นขนาดเล็กมักถูกมองว่ามีความผันผวนสูงกว่า แต่ก็มีศักยภาพในการเติบโตที่มากกว่าเช่นกัน
หุ้นยังสามารถจำแนกตามกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมที่บริษัทนั้นสังกัด กลุ่มธุรกิจ (Sector) คือการจัดประเภทในภาพกว้างของธุรกิจที่มีลักษณะการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจคล้ายกัน เช่น เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ หรือการเงิน
ภายในแต่ละกลุ่มธุรกิจ จะมีอุตสาหกรรมย่อยอีกหลายประเภท ตัวอย่างเช่น ในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี จะมีอุตสาหกรรมย่อยอย่างซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และเซมิคอนดักเตอร์ การเข้าใจแนวโน้มของกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัจจัยเหล่านี้สามารถส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาหุ้นได้
การซื้อขายหุ้นเกี่ยวข้องกับผู้เข้าร่วมที่หลากหลาย ได้แก่:
นักลงทุนรายย่อย
นักลงทุนสถาบัน
เจ้ามือตลาด
นักวิเคราะห์หุ้นและโบรกเกอร์
แต่ละกลุ่มมีบทบาทเฉพาะที่ส่งผลต่อกลไกและทิศทางของตลาดหุ้น
นักลงทุนรายย่อยคือนักลงทุนบุคคลทั่วไปที่ซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อ บัญชีส่วนตัวของตนเอง นักลงทุนกลุ่มนี้อาจนำเงินออมมาลงทุนในหุ้น พันธบัตร กองทุนรวม หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ
นักลงทุนรายย่อยถือเป็นผู้เข้าร่วมตลาดที่ไม่ใช่มืออาชีพ และโดยทั่วไปจะซื้อขายในปริมาณที่น้อยกว่านักลงทุนสถาบันมาก
ด้วยการเติบโตของแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ การลงทุนของนักลงทุนรายย่อยจึงเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทำให้มีคนจำนวนมากขึ้นสามารถเข้าร่วมในตลาดหุ้นได้
นักลงทุนสถาบันคือองค์กรที่รวบรวมเงินจำนวนมากเพื่อนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์ประเภทอื่น กลุ่มนี้รวมถึงกองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนรวม บริษัทประกันภัย และกองทุนเฮดจ์ฟันด์
นักลงทุนสถาบันมักถือหุ้นในปริมาณมากและสามารถมีอิทธิพลต่อการบริหารและกลยุทธ์ของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีทั้งเงินลงทุนจำนวนมากและความเชี่ยวชาญในระดับมืออาชีพ
เจ้ามือตลาด (Market Makers) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ผู้ดูแลสภาพคล่อง คือนิติบุคคลหรือบุคคลที่พร้อมจะซื้อและขายหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่องในราคาที่เปิดเผยต่อสาธารณะ พวกเขามีบทบาทสำคัญในการรักษาสภาพคล่องและประสิทธิภาพของตลาดการเงิน
โดยการเสนอราคาซื้อ (bid) และราคาขาย (ask) สำหรับหลักทรัพย์หลากหลายประเภท เจ้ามือตลาดช่วยให้มีผู้ซื้อและผู้ขายอยู่เสมอ ทำให้การซื้อขายของนักลงทุนเป็นไปอย่างราบรื่น
นักวิเคราะห์หุ้นคือนักวิชาชีพที่วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินและแนวโน้มต่าง ๆ เพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของหลักทรัพย์ พวกเขาช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจว่าจะซื้อ ถือ หรือขายหุ้นใด
ในทางกลับกัน โบรกเกอร์คือตัวกลางที่ดำเนินคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์ให้กับนักลงทุน โดยแลกกับค่าธรรมเนียมหรือค่าคอมมิชชั่น โบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นช่องทางในการเข้าถึงตลาดหุ้น และมักให้บริการเพิ่มเติม เช่น บทวิเคราะห์หุ้น คำแนะนำด้านการลงทุน และการบริหารพอร์ตการลงทุน
ประเภทของหุ้นประกอบด้วยหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์ หุ้นเติบโต และหุ้นคุณค่า ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและมีผลต่อกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกัน
หุ้นยังสามารถจัดประเภทตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด กลุ่มธุรกิจ และอุตสาหกรรม ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเลือกลงทุน
ผู้เข้าร่วมในตลาดหุ้นประกอบด้วยนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบัน เจ้ามือตลาด (ผู้ดูแลสภาพคล่อง) และนักวิเคราะห์หุ้นกับโบรกเกอร์
ในบทเรียนนี้ เราได้เรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับประเภทของหุ้น การจัดหมวดหมู่หุ้น และผู้เล่นในตลาด ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการเข้าใจภาพรวมของตลาดหุ้น บทถัดไป เราจะเข้าสู่กลไกการซื้อขายหุ้น เพื่อทำความเข้าใจการทำงานของระบบซื้อขายให้ลึกยิ่งขึ้น
พจนานุกรมคำศัพท์ของเราช่วยอธิบายคำศัพท์การเทรดที่ซับซ้อนให้ง่ายต่อความเข้าใจ เรียนรู้คำสำคัญที่นักเทรดทุกคนควรรู้
อ่านบล็อกล่าสุดของเราเพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการเทรด มุมมองตลาด และกลยุทธ์การเทรดจริง บล็อกของ XS จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล แรงบันดาลใจ และพร้อมสำหรับการเทรด