Facebook Pixel
Logo

คอร์สการเทรดออนไลน์ของ XS

เพิ่มพูนความรู้ของคุณด้วยคอร์สการเทรดออนไลน์ฟรีจาก

โซลูชั่นก็อปปี้เทรด
หน้าหลัก   Breadcrumb right  คอร์   Breadcrumb right  คู่มือ แนะนำ การเทรดฟอเร็กซ์   Breadcrumb right  วิธีบริหาร ความเสี่ยงใน การเทรด ฟอเร็กซ์

วิธีบริหารความเสี่ยงในการเทรดฟอเร็กซ์

ในการเทรดฟอเร็กซ์ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตลาดมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และราคาก็ผันผวนอยู่ตลอด จากทั้งเหตุการณ์ระดับโลก การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงในมุมมองของนักลงทุน

แม้ว่าโอกาสและความเสี่ยงจะมาคู่กัน เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จไม่ได้มุ่งแค่การทำกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับการปกป้องเงินทุนเป็นอันดับแรก

ในบทเรียนนี้ เราจะมาเจาะลึกเทคนิคและกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงที่สำคัญเพื่อช่วยให้คุณเทรดอย่างชาญฉลาด โดยไม่ต้องเสี่ยงโดยไม่จำเป็น

 

บทนำสู่การบริหารความเสี่ยง

การบริหารความเสี่ยงในการเทรดฟอเร็กซ์คือการระบุ ประเมิน และควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเทรด

เป้าหมายคือการป้องกันไม่ให้การเทรดเพียงครั้งเดียว หรือหลายครั้งติดต่อกัน ส่งผลให้เงินทุนของคุณเสียหายอย่างรุนแรง

การบริหารความเสี่ยงไม่ได้หมายถึงการหลีกเลี่ยงการขาดทุน แต่หมายถึงการจำกัดขาดทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ พร้อมเปิดโอกาสให้คุณทำกำไรเมื่อจังหวะเหมาะสม การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพประกอบด้วย:

  • การเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

  • การใช้เครื่องมือป้องกัน เช่น คำสั่ง Stop-Loss และ Take-Profit

  • การบริหารขนาดการเทรดและเลเวอเรจอย่างรอบคอบ

  • การกระจายความเสี่ยงโดยไม่ลงทั้งหมดในจุดเดียว

แผนการบริหารความเสี่ยงที่มีโครงสร้างชัดเจนจะช่วยลดอารมณ์ในการเทรด ทำให้คุณรักษาวินัยได้แม้ในช่วงที่ตลาดผันผวน

 

ประเภทของความเสี่ยงในการเทรดฟอเร็กซ์

ก่อนที่เราจะพูดถึงวิธีการบริหารความเสี่ยง คุณควรเข้าใจก่อนว่าในตลาดฟอเร็กซ์มีความเสี่ยงแบบใดบ้าง ต่อไปนี้คือความเสี่ยงที่พบได้บ่อยที่สุด:

 

1. ความเสี่ยงจากตลาด (ความผันผวนของราคา)

นี่คือความเสี่ยงที่ชัดเจนที่สุด: ราคาที่ผันผวน ตลาดฟอเร็กซ์มีความผันผวนสูง หมายความว่าราคาอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น:

  • การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจ (เช่น รายงาน GDP หรืออัตราเงินเฟ้อ)

  • เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ (สงคราม, การเลือกตั้ง, หรือข้อตกลงการค้า)

  • ข่าวสำคัญที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ตัวอย่าง: หากคุณเข้าเทรดก่อนการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ แล้วผลออกมาไม่เป็นไปตามคาด ราคาก็อาจเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณและทำให้ขาดทุนได้

 

2. ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ

เลเวอเรจช่วยให้เทรดเดอร์ควบคุมสถานะขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อยแต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มทั้งโอกาสในการทำกำไรและความเสี่ยงในการขาดทุน

  • เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่าคุณสามารถเทรด $100,000 ด้วยเงินเพียง $1,000

  • แต่หากการเทรดเคลื่อนไหวสวนทาง การขาดทุนเล็กน้อยก็อาจกลายเป็นการขาดทุนใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์ที่ใช้เลเวอเรจสูงเปิดสถานะ $100,000 ด้วยเงินเพียง $1,000 หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง 1% เทรดเดอร์จะขาดทุน $1,000 ซึ่งเท่ากับเงินในบัญชีทั้งหมด

 

3. ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย

อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าสกุลเงิน โดยทั่วไปอัตราดอกเบี้ยที่สูงจะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติและช่วยหนุนค่าเงิน ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมักทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลง

  • หากธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สกุลเงินนั้นมักจะแข็งค่าขึ้น

  • หากธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ย สกุลเงินนั้นอาจอ่อนค่าลง

ตัวอย่างเช่น หากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบไม่คาดคิด ค่าเงินดอลลาร์ (USD) อาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะกระทบกับเทรดเดอร์ที่ถือสถานะซื้อใน USD

 

4. ความเสี่ยงจากประเทศและสภาพคล่องของตลาด

ความไม่มั่นคงทางการเมือง นโยบายทางการค้า หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยสามารถส่งผลกระทบต่อค่าสกุลเงินของประเทศนั้นได้ นอกจากนี้คู่สกุลเงินบางคู่ยังมี สภาพคล่องต่ำ ซึ่งหมายความว่าการซื้อขายอาจทำได้ยากขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อราคาตลาด

  • คู่เงินหลัก (EUR/USD, GBP/USD) → มีสภาพคล่องสูง ดำเนินการเทรดได้ง่าย

  • คู่เงินเอ็กโซติก (USD/TRY, USD/ZAR) → มีสภาพคล่องต่ำ สเปรดกว้าง และเกิด Slippage ได้มากกว่า

ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์ถือสถานะในสกุลเงินลีราของตุรกี (TRY) แล้วเกิดวิกฤตทางการเมืองหรือมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เทรดเดอร์อาจเผชิญกับการขาดทุนแบบไม่คาดคิด

 

5. ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ

ความเสี่ยงประเภทนี้รวมถึงปัญหาต่างๆ เช่น:

  • ปัญหาทางเทคโนโลยี (อินเทอร์เน็ตล่ม, แพลตฟอร์มค้าง)

  • ปัญหาจากโบรกเกอร์ (เซิร์ฟเวอร์ล่ม, ดีเลย์ในการเปิด–ปิดออเดอร์)

  • ความผิดพลาดของผู้ใช้ (คลิกผิด, เลือกขนาดลอตไม่ถูก, ลืมตั้ง Stop-Loss)

ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์วางออเดอร์ขนาดใหญ่แต่เกิดแพลตฟอร์มล่มระหว่างเทรดทำให้ไม่สามารถปิดสถานะได้ทันเวลา และขาดทุนโดยไม่ตั้งใจ

 

เครื่องมือและเทคนิคสำคัญในการบริหารความเสี่ยง

หลังจากที่เราเข้าใจประเภทของความเสี่ยงในการเทรดฟอเร็กซ์แล้ว ต่อไปมาดูกันว่าเราจะรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างไร

 

การใช้คำสั่ง Stop-Loss

คำสั่ง Stop-Loss คือคำสั่งที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติ หากราคาขยับสวนทางกับคุณเกินกว่าระดับที่ได้กำหนดไว้

  • ช่วยปกป้องเงินทุนโดยจำกัดขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการเทรดแต่ละครั้ง

  • ลดการตัดสินใจด้วยอารมณ์ เพราะเทรดเดอร์มักลังเลที่จะปิดออเดอร์ที่กำลังขาดทุนด้วยความหวังว่าราคาจะกลับมา

ตัวอย่าง: หากคุณเปิดสถานะซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.2000 และตั้ง Stop-Loss ไว้ที่ 1.1950 เมื่อราคาลดลงถึง 1.1950 ระบบจะปิดออเดอร์ให้อัตโนมัติเพื่อลดความเสียหายที่อาจมากกว่านี้

 

การตั้งคำสั่ง Take-Profit

คำสั่ง Take-Profit คือคำสั่งที่ตั้งไว้ล่วงหน้าให้ระบบปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติ เมื่อราคาขยับไปถึงระดับกำไรที่คุณต้องการ

  • ช่วยให้คุณล็อกกำไรไว้ได้ก่อนที่ตลาดจะกลับทิศ

  • ป้องกันการเทรดที่เกิดจากความโลภ ซึ่งมักทำให้เทรดเดอร์ถือออเดอร์ไว้นานเกินไปจนกำไรหาย

ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อสินทรัพย์ที่ราคา $100 และตั้ง Take-Profit ไว้ที่ $120 เมื่อราคาขึ้นไปถึง $120 ระบบจะปิดออเดอร์ให้โดยอัตโนมัติทำให้คุณได้รับกำไรตามเป้า โดยไม่ต้องเสี่ยงรอให้ตลาดกลับตัวและเสียโอกาสไป

 

การเข้าใจขนาดการเปิดสถานะ

Position Sizing คือการกำหนดว่า จะใช้เงินทุนเท่าไรในการเปิดออเดอร์แต่ละครั้ง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือคุณจะเสี่ยงเงินกี่เปอร์เซ็นต์ของบัญชีในการเทรดนั้น กฎทั่วไปที่นิยมใช้คือ:

อย่าเสี่ยงเกิน 1–2% ของเงินในบัญชีต่อการเทรดหนึ่งครั้ง

ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินทุนสำหรับเทรดอยู่ $10,000 และใช้ กฎเสี่ยงไม่เกิน 2% แปลว่าคุณไม่ควรเสี่ยงเกิน $200 ต่อออเดอร์

 

กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

การกระจายความเสี่ยงหมายถึงการไม่ทุ่มเงินทั้งหมดไว้กับการเทรดเดียว, กลยุทธ์เดียว, หรือคู่สกุลเงินใดคู่หนึ่ง

  • หลีกเลี่ยงการเทรดที่กระจุกตัวอยู่ในคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ประเภทเดียว

  • ควรกระจายการเทรดออกไปในหลายกลุ่มสกุลเงินหรือใช้หลายกลยุทธ์เพื่อให้พอร์ตสมดุลมากขึ้น

  • อย่าลืมตรวจสอบและปรับพอร์ตอยู่เสมอเพื่อรักษาระดับความเสี่ยงให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม

 

ควบคุมการใช้เลเวอเรจของคุณ

การใช้เลเวอเรจในระดับต่ำจะช่วยลดความเสี่ยงในการเทรด

  • เลเวอเรจ 1:10 มีความปลอดภัยมากกว่าเลเวอเรจ 1:100

  • เลเวอเรจที่สูงจะทำให้เกิดการขาดทุนที่รุนแรงกว่า หากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่ตรงข้ามกับคุณ

 

สรุปบทเรียน

  • การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องเงินทุนของคุณ

  • ประเภทของความเสี่ยงในการเทรดฟอเร็กซ์: ความผันผวนของตลาด, เลเวอเรจ, อัตราดอกเบี้ย, สภาพคล่อง, และปัญหาด้านปฏิบัติการ

  • เครื่องมือหลักในการบริหารความเสี่ยง: คำสั่ง Stop-Loss, คำสั่ง Take-Profit, การกำหนดขนาดสถานะ, การกระจายความเสี่ยง, และการควบคุมเลเวอเรจ

เมื่อคุณเข้าใจและนำหลักการเหล่านี้ไปใช้ในการเทรดอย่างสม่ำเสมอ คุณจะกลายเป็นเทรดเดอร์ที่มีวินัย มีความมั่นคง และประสบความสำเร็จมากขึ้นในระยะยาว

ในบทเรียนถัดไป เราจะไปต่อกันในหัวข้อจิตวิทยาการเทรดในตลาดฟอเร็กซ์

ถัดไป: จิตวิทยาในการเทรดฟอเร็กซ์
บทเรียนถัดไป

การเรียนรู้ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้

อ่านบล็อกล่าสุดของเราเพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการเทรด มุมมองตลาด และกลยุทธ์การเทรดจริง บล็อกของ XS จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล แรงบันดาลใจ และพร้อมสำหรับการเทรด