ตลาด
แพลตฟอร์ม
บัญชี
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
การแข่งขัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือการเทรด
แหล่งข้อมูล
เพิ่มพูนความรู้ของคุณด้วยคอร์สการเทรดออนไลน์ฟรีจาก
ตลาดฟอเร็กซ์ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างโดดเดี่ยว แต่มันเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับเหตุการณ์ระดับโลก นโยบายเศรษฐกิจ และสถานการณ์ทางการเมือง เหตุการณ์ไม่คาดคิดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้ราคาสกุลเงินพุ่งขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรงภายในไม่กี่นาที
ตัวอย่างเช่น ในปี 2020 เศรษฐกิจโลก หดตัวลงถึง 3.4% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดฟอเร็กซ์ และทำให้ค่าเงินผันผวนอย่างมาก
ในบทเรียนนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจปัจจัยระดับโลกที่ส่งผลต่อตลาดฟอเร็กซ์ ตั้งแต่ นโยบายเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ ความมั่นคงทางการเมือง ไปจนถึงภัยธรรมชาติ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินในระดับโลก
แม้ว่าตลาดฟอเร็กซ์จะขับเคลื่อนด้วยกลไกอุปสงค์และอุปทานเป็นหลักแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความต้องการซื้อขายนั้นก็คือเหตุการณ์ระดับโลก
เมื่อเศรษฐกิจของประเทศหนึ่งแข็งแกร่งจะดึงดูด เงินลงทุนจากต่างชาติ ทำให้ความต้องการในสกุลเงินของประเทศนั้นเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ค่าเงินแข็งตัว ในทางกลับกันหากเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ นักลงทุนจะเริ่มระมัดระวัง และทยอยขายสกุลเงินนั้นออกมาทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลง
ต่อไปนี้คือปัจจัยระดับโลกที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดฟอเร็กซ์:
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ – การเติบโตของ GDP อัตราเงินเฟ้อ และข้อมูลการจ้างงาน สามารถเสริมความเชื่อมั่นหรือบั่นทอนมูลค่าของสกุลเงิน
อัตราดอกเบี้ยและนโยบายของธนาคารกลาง – อัตราดอกเบี้ยที่สูงช่วยดึงดูดนักลงทุน ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำอาจทำให้เงินทุนไหลออก
ความมั่นคงทางการเมือง – รัฐบาลที่มั่นคงสร้างความมั่นใจให้ตลาด ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองมักทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
วิกฤตระดับโลก – ภัยธรรมชาติ สงคราม หรือโรคระบาดล้วนสามารถสร้างความปั่นป่วนในตลาดและเพิ่มความผันผวนของค่าเงิน
หนึ่งในปัจจัยระดับโลกที่มีอิทธิพลต่อการเทรดฟอเร็กซ์คือปัจจัยทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งหมดนี้ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการประเมินมูลค่าของสกุลเงิน ลองมาดูกันว่ามีปัจจัยทางเศรษฐกิจใดบ้างที่ส่งผลต่อตลาดฟอเร็กซ์อย่างชัดเจน:
หนึ่งในปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อความแข็งแกร่งของสกุลเงินก็คืออัตราดอกเบี้ย ลองนึกภาพแบบนี้:
หากประเทศใดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนจากทั่วโลกจะหลั่งไหลเข้าไปลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นส่งผลให้ความต้องการในสกุลเงินของประเทศนั้นเพิ่มขึ้น และค่าเงินแข็งขึ้น
ในทางกลับกันหากประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนจะมองหาตลาดอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าทำให้ความต้องการลดลง และค่าเงินอ่อนตัวลงตามไปด้วย
ตัวอย่าง: เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เทรดเดอร์จำนวนมากจะหันมาถือเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสามารถรับผลตอบแทนจากการลงทุนในสหรัฐฯ ได้มากขึ้น ความต้องการนี้เองที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ
ธนาคารกลาง เช่น Federal Reserve (สหรัฐฯ) European Central Bank (สหภาพยุโรป) และ Bank of Japan (ญี่ปุ่น) ต่างใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการควบคุมเงินเฟ้อและกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งท้ายที่สุดก็ส่งผลโดยตรงต่อตลาดฟอเร็กซ์
อัตราเงินเฟ้อคือการวัดความเร็วที่ราคาสินค้าและบริการในเศรษฐกิจกำลังเพิ่มขึ้น ส่งผลต่ออำนาจซื้อ และท้ายที่สุดก็ส่งผลต่อความแข็งแกร่งของสกุลเงิน
เงินเฟ้อต่ำและมีเสถียรภาพ = ค่าเงินแข็งแรง (เงินยังคงรักษามูลค่าได้)
เงินเฟ้อสูง = ค่าเงินอ่อนลง (ต้องใช้เงินมากขึ้นในการซื้อของเท่าเดิม)
ตัวอย่าง: หากเงินเฟ้อในยูโรโซนพุ่งสูง ในขณะที่เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับต่ำ คู่สกุลเงิน EUR/USD อาจร่วงลง เพราะยูโรกำลังสูญเสียมูลค่าเร็วกว่าดอลลาร์สหรัฐ
เทรดเดอร์จะจับตารายงานเงินเฟ้อ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพื่อคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอาจปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างไร
เทรดเดอร์ใช้ข้อมูลเศรษฐกิจในการประเมินสุขภาพทางการเงินของประเทศ โดยรายงานที่สำคัญได้แก่:
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP): วัดผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ การเติบโตของ GDP ที่แข็งแกร่งมักช่วยหนุนค่าเงิน
ข้อมูลการจ้างงาน: การมีอัตราการจ้างงานสูงบ่งชี้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคแข็งแรง ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสกุลเงิน
ดุลการค้า: ประเทศที่ส่งออกมากกว่านำเข้ามักมีค่าเงินที่แข็งแกร่งกว่า
ตัวอย่าง: หากญี่ปุ่นรายงานอัตราการเติบโตของ GDP สูงกว่าที่คาดการณ์ ค่าเงินเยน (JPY) อาจแข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สภาพแวดล้อมทางการเมืองของแต่ละประเทศส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน รัฐบาลที่มีเสถียรภาพและนโยบายชัดเจนจะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ในทางกลับกันความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุน
ตัวอย่าง: เมื่อสหราชอาณาจักรลงคะแนนเสียงในการออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในปี 2016 ค่าเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากเทรดเดอร์กังวลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แม้กระทั่งช่วงเวลาก่อน Brexit จะเกิดขึ้น ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลลัพธ์ ก็ได้สร้าง ความผันผวนให้กับคู่เงิน GBP ไปแล้ว
การเลือกตั้ง นโยบายของรัฐบาล ข้อตกลงทางการค้า ไปจนถึงข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริต ล้วนสามารถสั่นสะเทือนตลาดค่าเงินได้ เทรดเดอร์จึงต้องคอยเฝ้าติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิดเพื่อคาดการณ์ การเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน
เหตุการณ์ระดับโลกที่ไม่คาดคิดสามารถ ทำให้ตลาดฟอเร็กซ์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรุนแรง ต่อไปนี้คือตัวอย่างวิกฤตสำคัญที่เทรดเดอร์ควรให้ความสนใจ:
แผ่นดินไหว พายุเฮอริเคน และภัยพิบัติอื่น ๆ สามารถสร้างความไม่มั่นคงให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้ค่าเงินอ่อนตัวลง
ตัวอย่างเช่น: หลังเหตุการณ์ แผ่นดินไหวใหญ่ในญี่ปุ่นเมื่อปี 2011 ค่าเงินเยน (JPY) อ่อนค่าลงเนื่องจากเศรษฐกิจหยุดชะงัก อย่างไรก็ตามในระยะถัดมาค่าเงินเยนกลับแข็งค่าขึ้น เนื่องจากภาคธุรกิจญี่ปุ่นนำเงินทุนจากต่างประเทศกลับมาใช้ในการฟื้นฟูประเทศ ซึ่งเพิ่มความต้องการในสกุลเงินเยน
สงคราม ข้อพิพาททางการค้า และความตึงเครียดทางการเมืองล้วนสร้าง ความไม่แน่นอน ในตลาด ดังนั้นเหล่านักลงทุนมักหันไปหา สกุลเงินที่ปลอดภัย (Safe-haven currencies) เช่น:
ดอลลาร์สหรัฐ (USD): สกุลเงินสำรองที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก
ฟรังก์สวิส (CHF): ขึ้นชื่อเรื่องความมั่นคงในช่วงที่โลกเผชิญความไม่แน่นอน
เงินเยนญี่ปุ่น (JPY): ได้รับความนิยมในฐานะสกุลเงินปลอดภัยในยามวิกฤต
การแพร่ระบาดของโรค เช่น COVID-19 สามารถ ฉุดเศรษฐกิจทั่วโลกให้ชะลอตัว และส่งผลกระทบต่อฟอเร็กซ์โดยตรง ในปี 2020 ธนาคารกลางทั่วโลกต่างพากัน ลดอัตราดอกเบี้ย ธุรกิจจำนวนมากปิดตัวลง และตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
บทเรียนคือ: วิกฤตระดับโลกก่อให้เกิดทั้ง ความเสี่ยง และ โอกาส ในการเทรดฟอเร็กซ์ กุญแจสำคัญคือ การติดตามข่าวสารและปรับตัว ให้ทันต่อสถานการณ์
การเตรียมตัวสำหรับผลกระทบจากเหตุการณ์ระดับโลกในการเทรดฟอเร็กซ์ หมายถึงการพร้อมรับมือกับเหตุการณ์สำคัญ ที่อาจทำให้ค่าเงินผันผวนอย่างรุนแรง มาดูวิธีเตรียมตัวที่ควรทำ:
ติดตามข่าวสาร: หมั่น อัปเดตสถานการณ์โลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ
เข้าใจปฏิกิริยาของตลาด: พยายามคาดการณ์ว่าเทรดเดอร์คนอื่นจะตอบสนองอย่างไร ต่อข่าวใหญ่หรือเหตุการณ์สำคัญ เพื่อช่วยประเมินทิศทางของตลาด
พร้อมปรับกลยุทธ์: อย่ายึดติดกับแผนการเทรดเดิมเพียงอย่างเดียว หากมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น ควรพร้อมปรับแผนการเทรด ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
บริหารความเสี่ยง: ใช้เครื่องมืออย่าง stop-loss เพื่อปกป้องเงินทุนในกรณีที่ตลาดเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน และหลีกเลี่ยงการลงทุนทั้งหมดในประเภทเดียว
เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: ตลาดฟอเร็กซ์ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ควรเรียนรู้กลยุทธ์ใหม่ ๆ และติดตามเทรนด์ของตลาดอย่างสม่ำเสมอ
มีสติไม่ตื่นตระหนก: อย่าปล่อยให้ข่าวหรือความผันผวนทำให้คุณตื่นตกใจ ยึดมั่นในแผนที่วางไว้และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
หากคุณทำตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณจะมีความพร้อมมากขึ้น ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของตลาดฟอเร็กซ์ที่เกิดจากเหตุการณ์ใหญ่ในระดับโลก
เหตุการณ์ระดับโลกเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ของการเคลื่อนไหวในตลาดฟอเร็กซ์ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ และวิกฤตต่าง ๆ ล้วนส่งผลโดยตรงต่อความแข็งแกร่งของค่าเงิน
อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อมีบทบาทสำคัญ: อัตราดอกเบี้ยที่สูงดึงดูดการลงทุน ขณะที่เงินเฟ้อที่สูงเกินไปอาจทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลง
เสถียรภาพทางการเมืองส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน: ความไม่แน่นอนสร้างความผันผวน แต่รัฐบาลที่มั่นคงช่วยดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติ
วิกฤตสร้างความเสี่ยง — แต่ก็เป็นโอกาสเช่นกัน: สงคราม โรคระบาด และภัยธรรมชาติ อาจทำให้ตลาดปั่นป่วน แต่เทรดเดอร์ที่ฉลาดรู้วิธีปรับตัว
การเข้าใจผลกระทบของเหตุการณ์ระดับโลกถือเป็น ทักษะเปลี่ยนเกม ในการเทรดฟอเร็กซ์อย่างแท้จริง ในบทถัดไปเราจะพาคุณเริ่มต้นการเทรดฟอเร็กซ์ครั้งแรก
พจนานุกรมคำศัพท์ของเราช่วยอธิบายคำศัพท์การเทรดที่ซับซ้อนให้ง่ายต่อความเข้าใจ เรียนรู้คำสำคัญที่นักเทรดทุกคนควรรู้
อ่านบล็อกล่าสุดของเราเพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการเทรด มุมมองตลาด และกลยุทธ์การเทรดจริง บล็อกของ XS จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล แรงบันดาลใจ และพร้อมสำหรับการเทรด