Facebook Pixel
Logo

คอร์สการเทรดออนไลน์ของ XS

เพิ่มพูนความรู้ของคุณด้วยคอร์สการเทรดออนไลน์ฟรีจาก

โซลูชั่นก็อปปี้เทรด
หน้าหลัก   Breadcrumb right  คอร์   Breadcrumb right  คู่มือ แนะนำ การเทรดฟอเร็กซ์   Breadcrumb right  วิธีวิเคราะห์ การเทรด ตลาดฟอเร็กซ์

วิธีวิเคราะห์การเทรดตลาดฟอเร็กซ์

ตอนนี้คุณมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับตลาดฟอเร็กซ์ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้ว แต่การรู้จักเครื่องมือเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ คุณจำเป็นต้องรู้ว่าจะนำไปใช้กับการเทรดจริงอย่างไร

บทเรียนนี้จะพาคุณไปรู้จักการวิเคราะห์การเทรดในตลาดฟอเร็กซ์แบบทีละขั้นตอนตั้งแต่การเลือกแนวทางวิเคราะห์ไปจนถึงการทบทวนผลลัพธ์

ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือกำลังเพิ่มพูนทักษะ การวิเคราะห์การเทรดอย่างมีโครงสร้างจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและมีข้อมูลมากขึ้น

 

การวิเคราะห์ฟอเร็กซ์คืออะไร?

การวิเคราะห์ฟอเร็กซ์คือกระบวนการศึกษา การเคลื่อนไหวของราคาสกุลเงิน และ ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น เทรดเดอร์ใช้การวิเคราะห์เพื่อ:

  • ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและลดการขาดทุน

  • เข้าใจแนวโน้มของตลาดเพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำยิ่งขึ้น

  • พัฒนาแผนการเทรดที่มีโครงสร้างโดยอิงจากสภาวะของตลาด

จากบทเรียนก่อนหน้า เราเห็นแล้วว่าการวิเคราะห์ฟอเร็กซ์มีอยู่ 2 ประเภทหลัก ได้แก่:

  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: วิเคราะห์ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการเมือง (GDP อัตราดอกเบี้ย ข้อมูลการจ้างงาน)

  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค: มุ่งเน้นไปที่กราฟราคา แนวโน้ม และอินดิเคเตอร์ เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวในอนาคต

เทรดเดอร์ที่มีประสิทธิภาพมักไม่พึ่งพาการวิเคราะห์เพียงประเภทเดียว หลายคนเลือกใช้ทั้งสองแบบร่วมกันเพื่อสร้างกลยุทธ์การเทรดที่สมดุลและรอบด้าน

 

วิธีวิเคราะห์การเทรดในตลาดฟอเร็กซ์: ทีละขั้นตอน

การวิเคราะห์การเทรดในตลาดฟอเร็กซ์อย่างมีประสิทธิภาพประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก:

  1. เลือกแนวทางการวิเคราะห์ของคุณ

  2. ระบุปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ

  3. วิเคราะห์ข้อมูล

  4. สร้างพิมพ์เขียวของกลยุทธ์การเทรด

  5. ประเมินผลลัพธ์ของการเทรด

เรามาแยกดูแต่ละขั้นตอนกัน

 

ขั้นตอนที่ 1: เลือกแนวทางการวิเคราะห์ของคุณ

ก่อนที่คุณจะเปิดออเดอร์ คุณต้องตัดสินใจก่อนว่า: จะวิเคราะห์ตลาดอย่างไร?

 

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

วิธีนี้เน้นศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลต่อมูลค่าสกุลเงิน

ตัวอย่างเช่น: สมมติว่าเศรษฐกิจของประเทศ A กำลังเติบโต ขณะที่ประเทศ B กำลังชะลอตัว นักลงทุนอาจเลือกถือสกุลเงินของประเทศ A ทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานควรติดตาม:

  • รายงานเศรษฐกิจ (GDP เงินเฟ้อ ข้อมูลการจ้างงาน)

  • นโยบายของธนาคารกลาง (การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย นโยบายการเงิน)

  • เหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ (การเลือกตั้ง ความขัดแย้ง มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ)

 

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

แทนที่จะดูปัจจัยเศรษฐกิจ การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเน้นไปที่ กราฟราคาและแนวโน้มของตลาด

ตัวอย่างเช่น: หากราคาของคู่สกุลเงิน ทะลุแนวต้านสำคัญ อาจเป็นสัญญาณของโอกาสในการซื้อ

เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคทั่วไป ได้แก่:

  • อินดิเคเตอร์แนวโน้ม (Moving Averages)

  • อินดิเคเตอร์โมเมนตัม (RSI, MACD)

  • รูปแบบกราฟ (Head & Shoulders, Triangles)

 

ควรเลือกวิธีวิเคราะห์แบบไหน?

เทรดเดอร์บางคนอาจถนัดการวิเคราะห์แบบใดแบบหนึ่งมากกว่าแต่อีกหลายคนเลือกใช้ แนวทางแบบผสม โดยผสานทั้งการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้าด้วยกันเพื่อให้มองเห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนและรอบด้านยิ่งขึ้น

 

ขั้นตอนที่ 2: ระบุปัจจัยขับเคลื่อนหลัก

ก่อนเปิดออเดอร์ คุณต้องระบุให้ได้ว่า ปัจจัยใดมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคา ปัจจัยเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 หมวดหลัก ได้แก่:

  • ข้อมูลเศรษฐกิจ

  • นโยบายของธนาคารกลาง

  • มุมมองหรือความเชื่อมั่นของตลาด

 

ข้อมูลเศรษฐกิจ (Economic Data)

การเติบโตของ GDP อัตราเงินเฟ้อ และรายงานการจ้างงาน ล้วนส่งผลต่อมูลค่าสกุลเงินอย่างมีนัยสำคัญ

ตัวอย่างเช่น: หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นธนาคารกลางของประเทศนั้นอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้ค่าเงินแข็งขึ้น

 

นโยบายของธนาคารกลาง (Central Bank Policies)

การปรับอัตราดอกเบี้ย แถลงการณ์ด้านนโยบายการเงิน และการคาดการณ์เศรษฐกิจ ล้วนมีผลต่อทิศทางของค่าเงิน

ตัวอย่าง: หากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์ (USD) อาจแข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า

 

มุมมองของตลาด (Market Sentiment)

ข่าว เหตุการณ์ทั่วโลก และจิตวิทยาของนักลงทุน ล้วนมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของราคา

ตัวอย่างเช่น: หากเกิดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสองประเทศใหญ่ นักลงทุนอาจขายสกุลเงินที่มีความเสี่ยง และหันไปถือ สกุลเงินปลอดภัย เช่น USD, JPY หรือ CHF

การติดตาม ปฏิทินเศรษฐกิจ จะช่วยให้คุณคาดการณ์เหตุการณ์ที่อาจกระทบตลาดล่วงหน้าได้

 

ขั้นตอนที่ 3: วิเคราะห์ข้อมูล

เมื่อคุณระบุปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นอย่างละเอียด

 

เช็กลิสต์สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

  • เปรียบเทียบข้อมูลเศรษฐกิจ (GDP, เงินเฟ้อ, การจ้างงาน) กับรายงานครั้งก่อนและความคาดหวังของตลาด

  • วิเคราะห์ถ้อยแถลงและมุมมองนโยบายของธนาคารกลาง

  • ติดตามแหล่งข่าวที่รายงานเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่สำคัญ

 

สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค

  • ระบุแนวโน้มของราคา (ราคากำลังเคลื่อนที่ขึ้น ลง หรือแกว่งในกรอบ?)

  • มองหาบริเวณแนวรับและแนวต้าน (บริเวณที่ราคามักเด้งกลับ)

  • ใช้อินดิเคเตอร์ (Moving Average, RSI, MACD) เพื่อยืนยันสัญญาณการเทรด

อย่าลืมว่าการวิเคราะห์ที่รอบด้านควรผสานทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคเพื่อให้เห็นภาพรวมของตลาดอย่างชัดเจน

ตัวอย่าง: หากคุณกำลังวิเคราะห์คู่ EUR/USD

  • คุณตรวจดูข้อมูลเศรษฐกิจและพบว่า GDP ของยูโรโซนกำลังขยายตัว แสดงถึงความแข็งแกร่งของยูโร

  • บนกราฟ คุณสังเกตเห็นว่าราคาได้ ทะลุแนวต้านขึ้นไป ยืนยันแนวโน้มขาขึ้น

  • หากปัจจัยอื่นสอดคล้องกัน นี่อาจเป็นสัญญาณของโอกาสในการซื้อ

 

ขั้นตอนที่ 4: สร้างพิมพ์เขียวสำหรับการเทรดของคุณ

เมื่อคุณวิเคราะห์ข้อมูลเรียบร้อยแล้ว , ก็ถึงเวลาวางแผนการเทรดของคุณ

  • การเลือกคู่สกุลเงิน: เลือกคู่สกุลเงินที่สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของคุณ (เช่น EUR/USD, GBP/JPY)

  • การกำหนดทิศทาง: ตัดสินใจว่าจะเปิดสถานะซื้อ (Long) หรือขาย (Short)

  • จุดเข้าและออก: ระบุจุดที่จะเข้าเทรดและปิดเทรด

  • การจัดการความเสี่ยง: ตั้งค่า Stop-Loss เพื่อจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น

  • การกำหนดขนาดสถานะ: กำหนดว่าจะเสี่ยงเงินทุนในบัญชีเท่าไรต่อการเทรดหนึ่งครั้ง (แนะนำไม่เกิน 1–2%)

ตัวอย่าง: หากการวิเคราะห์ของคุณชี้ว่า EUR/USD กำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น คุณอาจ:

  • เปิดออเดอร์ซื้อที่ราคา 1.1200

  • ตั้ง Stop-Loss ที่ 1.1150 เพื่อจำกัดการขาดทุน

  • ตั้ง Take-Profit ที่ 1.1300 เพื่อเก็บกำไรเมื่อราคาถึงเป้าหมาย

 

ขั้นตอนที่ 5: ประเมินผลและปรับกลยุทธ์

แม้จะปิดออเดอร์ไปแล้ว แต่งานของคุณยังไม่จบ การเทรดฟอเร็กซ์เป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คุณต้องประเมินผลการเทรดของตัวเองและปรับปรุงแนวทางอยู่เสมอ

วิธีทบทวนการเทรด:

  • บันทึกการเทรด: จดจุดเข้า–ออก, เหตุผลในการเข้าเทรด, และผลลัพธ์

  • วิเคราะห์ผลงาน: การเทรดเป็นไปตามแผนหรือไม่? ถ้าไม่, ติดปัญหาตรงไหน?

  • ปรับกลยุทธ์: เรียนรู้จากทั้ง การเทรดที่ชนะและขาดทุน เพื่อพัฒนาแนวทางให้ดีขึ้น

ตัวอย่าง: หากคุณเปิดออเดอร์ EUR/USD แล้วขาดทุน ให้ถามตัวเองว่า:

  • การวิเคราะห์ของคุณถูกต้องหรือไม่?

  • คุณจัดการความเสี่ยงได้เหมาะสมหรือไม่?

  • คุณตัดสินใจจากอารมณ์ หรือยึดตามแผนที่วางไว้?

การทบทวนการเทรดในอดีตจะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะและยกระดับผลลัพธ์ในการเทรดครั้งต่อไปได้

 

สรุปบทเรียน

  • การวิเคราะห์ฟอเร็กซ์ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจการเคลื่อนไหวของราคา และตัดสินใจเทรดได้อย่างมีข้อมูลรองรับ

  • การวิเคราะห์หลักมีอยู่ 2 ประเภท:

    • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: พิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง

    • การวิเคราะห์ทางเทคนิค: มุ่งเน้นที่กราฟราคาและอินดิเคเตอร์

  • ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด ได้แก่ ข้อมูลเศรษฐกิจ, นโยบายของธนาคารกลาง, และมุมมองของตลาด

  • กระบวนการวิเคราะห์การเทรด:

    • เลือกแนวทางการวิเคราะห์ที่คุณจะใช้

    • ระบุปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อตลาด

    • วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานและข้อมูลทางเทคนิค

    • สร้างพิมพ์เขียวการเทรด (คู่เงิน, จุดเข้า–ออก, กลยุทธ์บริหารความเสี่ยง)

    • ประเมินและปรับปรุงกลยุทธ์ตามผลลัพธ์จากการเทรดที่ผ่านมา

ในบทเรียนถัดไป เราจะลงลึกในเรื่องการบริหารความเสี่ยงในการเทรดฟอเร็กซ

ถัดไป: วิธีบริหารความเสี่ยงในการเทรดฟอเร็กซ์
บทเรียนถัดไป

การเรียนรู้ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้

อ่านบล็อกล่าสุดของเราเพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการเทรด มุมมองตลาด และกลยุทธ์การเทรดจริง บล็อกของ XS จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล แรงบันดาลใจ และพร้อมสำหรับการเทรด