Facebook Pixel
Logo

คอร์สการเทรดออนไลน์ของ XS

เพิ่มพูนความรู้ของคุณด้วยคอร์สการเทรดออนไลน์ฟรีจาก

โซลูชั่นก็อปปี้เทรด
หน้าหลัก   Breadcrumb right  คอร์   Breadcrumb right  คู่มือ แนะนำ การเทรดฟอเร็กซ์   Breadcrumb right  ก้าวแรก สู่การเทรด ฟอเร็กซ์

ก้าวแรกสู่การเทรดฟอเร็กซ์

หลังจากที่คุณเข้าใจหลักการพื้นฐานของตลาดฟอเร็กซ์แล้ว ถึงเวลาโฟกัสกับการเริ่มลงมือเทรดจริง

บทเรียนนี้จะพาคุณไปรู้จักทุกสิ่งที่จำเป็น ตั้งแต่การเลือกโบรกเกอร์ ไปจนถึงการเปิดออเดอร์แรกอย่างมีแบบแผน

 

ขั้นตอนที่ 1:  เลือกโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่เหมาะสม

การเริ่มต้นเทรดของคุณจะเริ่มจากการหาโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ โบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นประตูสู่ตลาดฟอเร็กซ์ โดยให้บริการแพลตฟอร์มและเครื่องมือสำหรับการซื้อและขายสกุลเงิน

ต่อไปนี้คือสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกโบรกเกอร์:

  • การกำกับดูแล (Regulation): ปัจจัยสำคัญที่สุดคือการตรวจสอบว่าโบรกเกอร์อยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น FCA, ASIC หรือ CySEC หน่วยงานเหล่านี้มีบทบาทในการคุ้มครองเงินทุนของนักลงทุน

  • แพลตฟอร์มเทรด (Trading Platforms): โบรกเกอร์ที่ดีควรมีแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย เช่น MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5 (MT4/MT5) ลองเปรียบเทียบว่าแต่ละแพลตฟอร์มมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่รองรับสไตล์การเทรดของคุณหรือไม่

  • ค่าธรรมเนียมและสเปรด (Fees & Spreads): โบรกเกอร์อาจเก็บค่าธรรมเนียมผ่านคอมมิชชั่นหรือค่าสเปรด ควรเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายเพื่อหาอัตราที่แข่งขันได้ และไม่กระทบกับกำไรของคุณมากเกินไป

  • ประเภทบัญชี (Account Types): โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มักมีบัญชีหลายประเภท ทั้งสำหรับผู้เริ่มต้น ระดับกลาง ไปจนถึงนักเทรดมืออาชีพ เลือกประเภทบัญชีที่ตรงกับงบประมาณและเป้าหมายของคุณ

  • การบริการลูกค้า (Customer Support): การมีทีมสนับสนุนที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้น ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีช่องทางติดต่อสะดวก และมีทีมงานที่พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างมืออาชีพ

 

ขั้นตอนที่ 2 : ฝึกเทรดด้วยบัญชีทดลอง

ก่อนจะเสี่ยงใช้เงินจริงควร ฝึกเทรดในบัญชีทดลอง โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ส่วนใหญ่มีบัญชีเดโมให้ใช้งาน ซึ่งคุณสามารถเทรดด้วยเงินเสมือนจริงภายใต้สภาวะตลาดจริง

ทำไมต้องใช้บัญชีทดลอง?

  • เรียนรู้การใช้แพลตฟอร์ม: ฝึกใช้งานฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น การส่งคำสั่งซื้อ-ขาย การดูกราฟ และการใช้ Indicator

  • ทดสอบกลยุทธ์: ทดลองแนวทางการเทรดที่หลากหลายโดยไม่ต้องรับความเสี่ยงทางการเงิน

  • สร้างความมั่นใจ: เข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาดก่อนเข้าสู่การเทรดจริง

เทรดเดอร์หลายคนทำพลาดด้วยการรีบกระโดดเข้าสู่บัญชีจริงเร็วเกินไป ควรใช้เวลาฝึกในบัญชีเดโม อย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ ก่อนจะเริ่มใช้เงินจริง

 

ขั้นตอนที่ 3 : พัฒนากลยุทธ์การเทรดของคุณ

การเทรดฟอเร็กซ์ไม่ใช่เรื่องของโชคแต่เป็นเรื่องของ กลยุทธ์ ก่อนที่คุณจะเปิดออเดอร์ใด ๆ ควรมีแผนที่ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับสไตล์การเทรด ระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ และเป้าหมายของคุณ

 

กำหนดแนวทางการเทรดของคุณ

โดยทั่วไปแล้ว การวิเคราะห์ตลาดฟอเร็กซ์มีอยู่ 2 ประเภทหลัก:

  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ใช้ข้อมูลราคาย้อนหลัง รูปแบบกราฟ และอินดิเคเตอร์ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), RSI และ Bollinger Bands เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน : พิจารณาข้อมูลทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ การจ้างงาน รวมถึงเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มของค่าเงิน

เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากมักใช้การวิเคราะห์ทั้งสองแบบร่วมกัน เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรอบด้านและมีข้อมูลสนับสนุน

 

เลือกกรอบเวลาในการเทรด

กำหนดว่าแนวทางการเทรดของคุณเหมาะกับรูปแบบใด:

  • Scalper: ถือออเดอร์ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่นาทีมุ่งเน้นทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาทีละน้อย

  • Day Trader: เปิดและปิดออเดอร์ภายในวันเดียว ไม่ถือข้ามคืน

  • Swing Trader: ถือออเดอร์นานหลายวันถึงหลายสัปดาห์ เพื่อจับแนวโน้มระยะกลาง

  • Position Trader: เทรดตามแนวโน้มระยะยาว โดยถือออเดอร์เป็นเวลาหลายเดือน

 

ตั้งกฎการบริหารความเสี่ยง

กลยุทธ์การเทรดที่ดีควรมีเครื่องมือควบคุมความเสี่ยงควบคู่เสมอ เช่น:

  • Stop-loss: ช่วยจำกัดการขาดทุนหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง

  • Take-profit: ใช้เพื่อล็อกกำไรเมื่อราคาขยับถึงระดับที่ตั้งเป้าไว้

  • Position sizing: อย่าเสี่ยงเกินกว่า 1–2% ของยอดเงินในบัญชีต่อการเทรดแต่ละครั้ง

 

ขั้นตอนที่ 4  : เลือกคู่สกุลเงินสำหรับการเทรดครั้งแรกของคุณ

ตลาดฟอเร็กซ์นั้นกว้างใหญ่ แต่สำหรับผู้เริ่มต้นควรเริ่มจากคู่สกุลเงินหลัก เช่น EUR/USD, USD/JPY หรือ GBP/USD เนื่องจากคู่เงินเหล่านี้มีคุณสมบัติที่เหมาะกับมือใหม่เนื่องจาก:

  • มีสภาพคล่องสูง: สามารถซื้อ–ขายได้ง่าย มีโอกาสเกิดสลิปเพจน้อย (ความต่างของราคาขณะส่งคำสั่ง)

  • มีสเปรดแคบ: ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าคู่เงินรองทำให้ต้นทุนในการเทรดต่ำ

  • มีข้อมูลสนับสนุนมาก: ข่าวเศรษฐกิจและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับคู่เงินหลักมีให้ติดตามอย่างต่อเนื่อง

 

ขั้นตอนที่ 5 : เปิดออเดอร์แรกของคุณ

เมื่อคุณมีทั้งโบรกเกอร์ กลยุทธ์ และคู่สกุลเงินที่เลือกไว้แล้วก็ถึงเวลาลงมือเทรดจริง!

 

วิเคราะห์ตลาดก่อนเปิดออเดอร์

ก่อนที่คุณจะเข้าเทรด อย่าลืมตรวจสอบสิ่งสำคัญต่อไปนี้:

  • อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค: พิจารณาระดับแนวรับ–แนวต้าน เส้นแนวโน้ม (trendlines) และเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (moving averages)

  • ข่าวเศรษฐกิจ: ตรวจสอบว่ามีรายงานสำคัญใดกำลังจะประกาศ เช่น การตัดสินใจอัตราดอกเบี้ย หรือรายงานการจ้างงาน

 

กำหนดอัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน

เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมักจะนึกถึงเป็นความน่าจะเป็นก่อนเข้าออเดอร์ คุณควรคำนวณอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-to-Reward Ratio) ให้ชัดเจนก่อนเปิดทุกเทรด

  • อัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 1:2 ขึ้นไป เช่น หากคุณยอมเสี่ยง 50 pips คุณควรตั้งเป้าหมายทำกำไรที่อย่างน้อย 100 pips

  • อย่าเปิดออเดอร์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าผลตอบแทนที่คาดหวัง เพราะนั่นคือการตั้งต้นที่ไม่คุ้มค่าในระยะยาว

 

ดำเนินการเปิดออเดอร์

  • เปิดแพลตฟอร์มเทรดของคุณ

  • เลือกคู่สกุลเงินที่คุณต้องการเทรด

  • เลือกคำสั่ง Buy (Long) หรือ Sell (Short) ตามผลการวิเคราะห์ของคุณ

  • ตั้งระดับ Stop-loss และ Take-profit ให้เหมาะสมกับกลยุทธ์

  • กดยืนยัน (Confirm) เพื่อดำเนินการเปิดออเดอร์

 

ขั้นตอนที่ 6: ติดตามการเทรดของคุณ

เมื่อคุณเปิดออเดอร์เรียบร้อยแล้ว งานของคุณยังไม่จบ เพราะตลาดฟอเร็กซ์เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา คุณจึงต้อง:

  • ติดตามข่าวสารสำคัญ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานะการเทรดของคุณ

  • ปรับระดับ stop-loss หรือ take-profit หากตลาดเคลื่อนไหวต่างจากที่คาดไว้

  • หลีกเลี่ยงการเทรดด้วยอารมณ์ อย่าตื่นตระหนกเมื่อกราฟผันผวน ให้ยึดตามกลยุทธ์ของคุณเสมอ

มือใหม่หลายคนมักทำผิดพลาดโดยการเฝ้าดูหน้าจอมากเกินไป ซึ่งมักนำไปสู่การตัดสินใจแบบไม่ยั้งคิด เพราะใช้อารมณ์เป็นตัวนำ ดังนั้นควรตั้งออเดอร์ให้ชัดเจน เดินตามแผนที่วางไว้ แล้วปล่อยให้ตลาดเคลื่อนไหวไปเอง

 

ขั้นตอนที่ 7: ปิดการเทรดของคุณ

มีหลายสถานการณ์ที่คุณอาจตัดสินใจปิดสถานะการเทรด:

  • โดน Stop-Loss: หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง คำสั่ง stop-loss จะปิดออเดอร์ของคุณโดยอัตโนมัติเพื่อลดการขาดทุนเพิ่มเติม

  • ถึงเป้า Take-Profit: หากตลาดเคลื่อนไหวเป็นไปในทิศทางที่คุณคาดไว้ คำสั่ง take-profit จะช่วยให้คุณล็อกกำไรตามระดับที่ตั้งไว้

  • ปิดออเดอร์ด้วยตัวเอง: คุณอาจเลือกปิดออเดอร์ก่อนถึงจุด stop-loss หรือ take-profit หากการวิเคราะห์ของคุณเปลี่ยนแปลงไป

จำไว้ว่า วินัยคือกุญแจสำคัญ หากออเดอร์ของคุณโดน stop-loss ให้ยอมรับการขาดทุนนั้นแล้วก้าวต่อไป อย่าเทรดเพราะอารมณ์ หรือพยายามแก้มือ เพราะมักจะนำไปสู่การขาดทุนที่มากขึ้น

 

สรุปบทเรียน

  • การเลือกโบรกเกอร์คือก้าวแรกที่สำคัญ — ควรพิจารณาด้านใบอนุญาต ความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม ค่าธรรมเนียมต่ำ และการบริการลูกค้าที่ดี

  • ฝึกเทรดในบัญชีทดลองก่อนใช้เงินจริงเพื่อสร้างความคุ้นเคยและความมั่นใจ

  • กลยุทธ์การเทรดที่แข็งแกร่งควรมีทั้งการวิเคราะห์ตลาด การบริหารความเสี่ยง และกฎที่ชัดเจนสำหรับการเข้า-ออกออเดอร์

  • เริ่มต้นด้วยคู่สกุลเงินหลักเนื่องจากมีสเปรดต่ำและสภาพคล่องสูง

  • ดำเนินการเทรดครั้งแรกอย่างรอบคอบ โดยวิเคราะห์ทั้งด้านเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน พร้อมใช้กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

และนี่คือจุดสิ้นสุดของบทเรียนนี้ หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูคอร์สอื่นหรือบทความความรู้จากบล็อกของเรา

การเรียนรู้ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้

อ่านบล็อกล่าสุดของเราเพื่อเรียนรู้เคล็ดลับการเทรด มุมมองตลาด และกลยุทธ์การเทรดจริง บล็อกของ XS จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูล แรงบันดาลใจ และพร้อมสำหรับการเทรด